หลังรอนแรมมาในเรือจากจีนแผ่นดินใหญ่
เตี่ยกับแม่ของนพกร โชติวัฒนตระกูล ซึ่งเป็นชาวจีนแคะ
ก็ไปตั้งหลักแหล่งที่จังหวัดพิษณุโลก กระทั่งในปี พ.ศ. 2498
เตี่ยก็คิดสูตรน้ำหวานขึ้นมาขาย โดยนำกลิ่นน้ำหอมที่สั่งซื้อจากกรุงเทพฯ
มาผสมกับแม่สี 5 สีและโซดา ผลลัพธ์ที่ได้คือน้ำหวานที่ทั้งหวาน ทั้งหอม
ทั้งซ่าไม่เหมือนใคร
และนี่คือแนวคิดสุดล้ำในสมัยที่เมืองไทยยังรู้จักน้ำอัดลมแค่ไม่กี่ยี่ห้อ
เตี่ยกับแม่
หรือที่นพกรมักเรียกว่า “อากง-อาม่า” ย้ายมาอยู่ย่านตลาดจีน
จังหวัดลำปาง ในปี พ.ศ. 2500 และนำอาชีพขายน้ำหวานชนิดนี้ติดตัวมาด้วย
เตี่ยนำรถสามล้อที่ใช้ถีบตระเวนขายไปดัดแปลงที่ร้านซ่อมรถแถวโรงแรมเอเชีย
โดยออกแบบให้หน้ารถเหมือนรถแลนด์โรเวอร์ที่พวกป่าไม้สมัยก่อนนิยมใช้กัน ที่สำคัญ
เตี่ยยังทำให้รถสามล้อธรรมดา ๆ ดูน่าสนใจขึ้นมาทันที
ด้วยการออกแบบติดตั้งจรวดที่ทำจากทองเหลืองไว้บนรถ ท้ายจรวดมีท่อโค้ง ๆ 2 ท่อ
เพื่อที่จะใช้ท่อนี้ลำเลียงความซ่าจากถังโซดาที่ซ่อนอยู่ข้างล่างมาสู่น้ำหวานในแก้ว
แล้วยังประดับไฟกะพริบวิบวับให้สวยงามสำหรับขายเวลากลางคืนอีกด้วย
ความหอมอร่อย
ความซ่าออกจมูกชนิดที่คนเมืองบอกว่า “กินแล้วมันเด้าลิ้น” และราคาที่ถูกกว่าน้ำอัดลม
ทำให้น้ำหวานของเตี่ยเป็นที่รู้จักไปทั่วเมืองลำปางในสมัยนั้น
ลูกค้าพากันเรียกเตี่ยว่า ปู่เย็นซ่าบ้าง แปะเย็นซ่าบ้าง
โดยทั้งเตี่ยกับแม่จะแยกกันขาย เตี่ยใช้รถสามล้อถีบเร่ขายจากบ้านไปถึงย่านเก๊าจาว
กว่าจะวนกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด ส่วนแม่ใช้รถเข็นตระเวนขายในเมือง
และจะกลับถึงบ้านก่อนเพื่อตระเตรียมมื้อเย็นไว้รอรับ
“เตี่ยกับแม่ขายน้ำจรวดเลี้ยงลูก
8 คน สมัยนั้นถุงละสลึงเดียวเท่านั้นครับ” นพกรรำลึกความหลัง
และด้วยความที่เขาเป็นลูกชายคนโต จึงเป็นเรี่ยวแรงหลักในการช่วยเหลือครอบครัว
สมัยนั้นร้านโม่น้ำแข็งในเมืองลำปางยังไม่มี วันไหนขายดีชนิดที่นพกรบอกว่า “คนมุงกันจนไม่เห็นหัวคนขาย” เขาต้องตำน้ำแข็งโดยใช้สากและครกไม้
ตำน้ำแข็งทีละมือแล้วเทียวไปส่งให้เตี่ยกับแม่ ในขณะที่น้อง ๆ
ก็ต้องหอบหิ้วกันไปนอนอยู่แถวนั้น
“สมัยก่อนเมืองลำปางมีสนามมวย
วันไหนมีมวยก็ขายดี แถวบ้านฟ่อนยังมีการชนวัว เตี่ยก็ไปขาย
ตามโรงเรียนอย่างบุญวาทย์ฯ กัลยาณี อัสสัมชัญ มัธยมราษฎร์ มัธยมวิทยา เคนเน็ตฯ
ใครที่เป็นศิษย์เก่าสมัยนั้นต้องรู้จักน้ำจรวดร้านเย็นซ่า”
จากราคาขายถุงละสลึง มาเป็นถุงละ
50 สตางค์ 75 สตางค์ 1 บาท ทุกวันนี้น้ำจรวดราคา 15 บาทแล้ว แต่ก็ยังมีลูกค้าเก่าแก่ตามมาซื้อกันอย่างเหนียวแน่น
นพกรเป็นคนเดียวในตระกูลที่สืบทอดอาชีพขายน้ำจรวดเป็นรุ่นที่สอง ทว่าคนที่ขายจริง
ๆ คือภรรยา ซึ่งลูกค้าเรียกกันว่า “เจ๊ต้อยน้ำจรวด”
แม้คุณภาพของวัตถุดิบบางชนิดจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
แต่ร้านเย็นซ่าก็ยังสั่งซื้อกลิ่นน้ำหอมจากร้านฮงฮวด แยกวัดตึกในกรุงเทพฯ
เหมือนสมัยที่เตี่ยยังอยู่
เพราะร้านฮงฮวดเป็นตัวแทนจำหน่ายที่นำเข้ากลิ่นน้ำหอมจากเมืองนอก
ขวดหนึ่งราคาพันกว่าบาท นพกรบอกว่า เมื่อก่อนเตี่ยใช้กลิ่นน้ำหอมของ 16
เหรียญทองจากลอนดอน ซึ่งเดี๋ยวนี้เลิกผลิตไปแล้ว เมื่อดูจากฉลากที่ติดอยู่กับขวด
จะเห็นว่าปัจจุบันกลิ่นน้ำหอมเหล่านี้ผลิตในประเทศสิงคโปร์
เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมที่มีคุณภาพดีมาผสมกับแม่สี
5 สี คราวนี้ก็ขึ้นอยู่กับสูตรลับที่สืบทอดกันมาว่า ทำอย่างไรจึงจะหอม หวาน ซ่า
แบบพอดิบพอดีถูกใจคนกิน นอกจากเทคนิคในการผสมน้ำหวานแล้ว การ “ตีน้ำหวานให้แตก” ยังเป็นเรื่องเฉพาะที่ต้องฝึกฝน
เพราะหากน้ำหวานไม่แตก นอกจากน้ำจรวดจะไม่ซ่าแล้ว ยังออกรสเปรี้ยวอีกต่างหาก
นพกรลุกขึ้นสาธิตให้ดู
เขาเดินไปที่รถเข็นคันเดิมสมัยเตี่ย จรวดสีเงินวาววับคือจุดเด่นที่สะดุดตายิ่งนัก
นพกรใช้กระบวยทองเหลืองเล็ก ๆ ตักน้ำหวานรสซาสี่ อันเป็นรสยอดนิยม
ใส่ในแก้วที่มีน้ำแข็งอยู่เต็ม
จากนั้นใช้มือกดไปที่ตัวสูบลมข้างรถเพื่อที่จะสูบเอาโซดาผ่านท่อโค้ง ๆ
ท้ายจรวดขึ้นมาใส่แก้ว น้ำหวานจะแตก หรือไม่แตกขึ้นอยู่กับขั้นตอนนี้นั่นเอง
หากโซดาผสมกับน้ำหวานไม่ทั่วถึง นั่นคือน้ำหวานไม่แตก ยืนมองเผิน ๆ
เหมือนการทำน้ำจรวดจะง่าย แต่กลับกลายเป็นว่าถ้าไม่รู้เทคนิค ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด
จากวันที่เตี่ยเร่ขายน้ำจรวดไปทั่งเมือง
มาวันนี้
วันที่รถสามล้อถีบจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านเหมือนได้ผ่อนพักจากการกรำงานหนักมาทั้งชีวิต
ลูกค้ากลับเป็นฝ่ายที่ต้องดั้นด้นมาซื้อถึงที่
น้ำจรวดโด่งดังในหมู่นักท่องเที่ยวที่มาเยือนกาดกองต้า
ภาพรถสามล้อถีบและจรวดถูกเผยแพร่ออกไปตามสื่อหลายช่องทาง
เกือบ 60 ปีแล้ว
น้ำจรวดยังคงความหวานจากวันวานจนถึงวันนี้ ครองใจคนกินจากรุ่นสู่รุ่น
ทุกครั้งที่นพกรพูดถึง “อากง-อาม่า” เขาจะนึกย้อนไปถึงความบากบั่นพากเพียรของคนจีนสองคนที่รอนแรมมาตัวเปล่าแบบ
“เสื่อผืน หมอนใบ” อย่างแท้จริง
ก่อนจะตั้งตัวได้จากความคิดสุดสร้างสรรค์ที่ไม่เหมือนใคร แม้ชายในวัย 60
กว่าจะเล่าถึงความลำบากในวัยเด็ก แต่ดวงตากลับฉายแววแห่งความภาคภูมิ
ดูเหมือนไม่ใช่น้ำจรวดเท่านั้นที่ยังคงความหวาน
แต่เป็นความทรงจำต่อครอบครัวต่างหาก ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน
นึกย้อนกลับไปทีไรก็หอมหวานเสมอ
กุลธิดา สืบหล้า...เรื่อง
(ร้อยเรื่องราว ฉบับที่ 948 วันที่ 18 - 24 ตุลาคม 2556)