วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ลำปางโมเดล ปักธงแดง – สงครามยังไม่จบ !


หักปากกาเซียนกันไป เมื่อยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถฝ่าผนังทองแดง กำแพงเหล็ก จนถึงวันเลือกตั้งแต่ก็เป็นการเลือกตั้งที่พิกลพิการ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ไม่สามารถประกาศผลการเลือกตั้งทั่วประเทศอย่างเป็นทางการได้ เปิดสภาไม่ได้ ตั้งรัฐบาลไม่ได้ และสุดท้ายอาจนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เช่นเดียวกับการเลือกตั้งเมื่อปี 2549 นับหนึ่งประเทศไทยอีกครั้ง ด้วยราคาที่จ่ายไป 3,800 ล้าน

ชัยชนะเร็วพลันที่ได้จากการผ่านวันเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ คือชัยชนะที่สะท้อนผ่านผลการเลือกตั้งในเขตอีสานและภาคเหนือตอนบน ที่ผลอย่างไม่เป็นทางการเห็นว่าผู้สมัครพรรคเพื่อไทย คือผู้ชนะ

แต่เป็นชัยชนะ  ที่ยังคงต้องก้าวข้ามความขัดแย้งของสังคมไทยไปให้ได้

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แสดงความเชื่อมั่นก่อนหน้านี้ว่า การเลือกตั้งจะทำให้ปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทยหมดไป และเมื่อผ่านการเลือกตั้งมาถึงวันนี้ ยังมีคำถามมากมาย

ความคิดของยิ่งลักษณ์นั้น สะท้อนให้เห็นความมั่นใจที่จะชนะการเลือกตั้งอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เนื่องเพราะพรรคการเมืองคู่แข่ง อย่างพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ลงเลือกตั้ง ความมั่นใจในชัยชนะระดับเดียวกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าว 

“ ประเมินผลการเลือกตั้งจากทีมงานของผม พรรคเพื่อไทยจะได้ 265-280 ที่นั่ง พรรคชาติไทยพัฒนา 29 ที่นั่ง พรรคชาติพัฒนา 7 ที่นั่ง พรรคพลังชล 7 ที่นั่ง พรรคภูมิใจไทย 20 ที่นั่ง พรรคประชาราช 1 พรรคพลังสหกรณ์ 1 ที่นั่ง โดยยังไม่ได้รวมเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ”

หากผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนี้จริง อาจจะไม่มีพรรคไหนเป็นพรรคฝ่ายค้านเลย และนั่นแปลว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีความชอบธรรมที่จะปกครองและบริหารประเทศต่อไป เพราะเธอมาจากการเลือกตั้ง มาโดยวิถีทางประชาธิปไตย ขับเน้นให้เห็นความไม่ชอบธรรมของพวกเทือกตั้งให้เห็นเด่นชัดขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการเดินตามแนวทางที่พี่ชาย เสี้ยมสอนไว้ว่า วิถีทางการเมืองหรือการเลือกตั้ง เป็นทางเดียวที่จะฟอกตัวเธอให้สะอาดหมดจด

กลับมามองที่การเลือกตั้งจังหวัดลำปางที่บรรยากาศหาเสียงเงียบหงอยกร่อยสนิท จะมาคึกคักในช่วง 7 วันอันตรายโค้งสุดท้ายก่อนเดินหน้าเข้าคูหา ใครมีกลเม็ดเด็ดก็งัดมาใช้เต็มที่ ใครไม่มีกระแสก็สร้างกระแสเอง นี่แหละวิถีการเมือง

หากย้อนกลับดูผลการเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ลำปางติดอันดับ 8 ของประเทศที่มีผู้ออกมาใช้สิทธิมากถึง 80.44% ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิลดลงเหลือเพียง 64.04% ก็นับว่าเป็นสถิติที่ไม่เลวเพราะในบางจังหวัดมีผู้ออกมาเลือกตั้งบางตาจริงๆ แต่ที่น่าจับตามองในการเลือกตั้งครั้งนี้คงเป็นสัญญาณจาก Vote No จากผู้ที่ประสงค์จะใช้สิทธิแต่ไม่ประสงค์จะเลือกใคร จากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตครั้งที่แล้วมีแค่ 4.14% มาครั้งนี้จำนวนพุ่งสูงขึ้นถึง 71,397 คะแนน คิดเป็น 18.16%  ในขณะที่แบบบัญชีรายชื่อ จำนวนผู้ที่ไม่ประสงค์จะเลือกใครก็เพิ่มขึ้นจาก 2.28% เป็น 16.05%  (63,102 คะแนน)  

ในส่วนของบัตรเสีย แบบส.ส.แบ่งเขต เมื่อปี 2554 มีจำนวนบัตรเสีย 33,800 คิดเป็น 6.94% การเลือกตั้งในปี 2557 นี้ จำนวนบัตรเสียเพิ่มสูงขึ้นถึงเท่าตัวเพราะตัวเลขมากถึง 54,315 คิดเป็น 13.82% 

นั่นหมายความว่าหาก การเลือกตั้งแบบ ส.ส.แบ่งเขต ถ้ารวมบัตรเสียกับ Vote No แล้ว ตัวเลขสูงถึง 127,712 คะแนน!!!

ในขณะที่จำนวนบัตรเสียของการเลือก ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อไม่แตกต่างจากการเลือกตั้งมีปี 2554 มาจาก คือจากครั้งปี 54 มีบัตรเสีย 35,822 คิดเป็น 7.36% การเลือกตั้งครั้งนี้มีบัตรเสีย 33,258 คิดเป็น 8.46% ซึ่งอาจถือได้ว่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

การเลือกตั้งครั้งนี้ ที่น่าจับตามองคงไม่พ้น พรรคเพื่อไทย เจ้าของพื้นที่ลำปาง เหมาทุกเขตมาหลายสมัย กับผู้สมัครที่ท้าชนมาหลายสนามอย่าง พรรคพลังประเทศไทย นำทัพโดย ดาชัย อุชุโกศลการ ที่นำลูกทีมลงสนามแบบไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย เรียกได้ว่าใช้ลูกขยันเกินร้อย และคะแนนที่ได้มากับการลงสนามครั้งแรกของลูกทีมหลายๆคนที่ฟันคะแนนมาได้หลักหมื่นขึ้นทุกคน นับว่าเป็นผลงานที่ดีและน่าจับตามองไม่น้อย ในขณะที่ บอล ถาคำฟู ลงสนามในนาม พรรคชาติพัฒนา ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกบนสนามเลือกตั้ง ส.ส. เพราะเมื่อปี 2554 บอล (ณฤธร) ถาคำฟู เคยลงสนามในเขต 2 ในนามพรรคชาติไทยพัฒนา ในครั้งนั้นได้คะแนนมากถึง 26,136 คะแนน พ่าย วาสิต พยัคฆบุตร มาครั้งนี้ บอล ถาคำฟู ย้ายมาลงสมัครรับเลือกตั้งเขต 1 ชนกับ กิตติกร โล่ห์สุนทร ที่คะแนนอย่างไม่เป็นทางการนั้นห่างจากกิตติกรราวๆกึ่งหนึ่ง

และหากผลการเลือกตั้งของจังหวัดลำปาง ออกมาเช่นนี้ ก็แปลว่า ผู้ชนะชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้ง คือพรรคเพื่อไทย อันมี กิตติกร โล่ห์สุนทร เป็นพี่ใหญ่ ในขณะที่ บอล ถาคำฟู พรรคชาติไทยพัฒนา ตามมาห่างๆ กับ ดาชัย อุชุโกศลการ หัวหน้าพรรคพลังประเทศไทย ที่เก็บเกี่ยวคะแนนได้มาพอสมควร แต่ก็ยังต้องการเวลาสั่งสมบารมีอีกพักใหญ่

แต่ประเด็นสำคัญที่มิอาจไม่มองข้าม คือผู้ใช้สิทธิโหวดโน คือไม่ประสงค์จะเลือกใคร เมื่อเทียบกับคะแนนของผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นสัดส่วนเท่าใด มากหรือน้อยก็เป็นประเด็น เช่น ในจังหวัดชัยภูมิ คะแนนเสียงโหวดโนมากกว่าคะแนนของผู้สมัคร และหากจำแนกโหวดโนในขอบเขตทั่วประเทศน่าจะใกล้เคียงกับคะแนนรวมของพรรคเพื่อไทย และนั่นแปลว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจเริงร่าไม่ได้ เพราะเธอจะถูกกดดันในประเด็นนี้ หนักหน่วง รุนแรงขึ้น

ในความเป็นจริง คนที่ไปใช้สิทธิโหวดโน น่าจะต่างกลุ่มกับ กปปส.คือกลุ่มคนที่ยังต้องการไปใช้สิทธิ และบอกผ่านบัตรลงคะแนนว่า เขาไม่ได้ต้องการเลือกความขัดแย้ง และหากคนจำนวนนี้มีเปอร์เซ็นต์สูง แปลว่า คนในสังคมส่วนใหญ่ปฎิเสธทั้งสองฝ่าย ส่วนกลุ่ม กปปส.หรือที่เห็นด้วยกับการปฎิรูปก่อนเลือกตั้งนั้น ก็จะไม่ไปใช้สิทธิ หรือโนโหวด ในทางตรงกันข้าม หากกลุ่มคัดค้านรัฐบาล นำจำนวนที่ไม่ได้ไปใช้สิทธิบวกกับโหวดโนในคูหาเลือกตั้ง แล้วแปรผลออกมาว่า เป็นกลุ่มไม่เอายิ่งลักษณ์ ก็จะเป็นความชอบธรรมในการกดดันรัฐบาลอีกด้านหนึ่ง 

ด้วยเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายนี้เอง จึงกล่าวได้ว่า สงครามยังไม่สงบ 
                         

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 964 7-13 กุมภาพันธ์ 2557) 

Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์