บนเส้นทางเลียบคลอง
คลองหลวง ปทุมธานี ระยะเวลาเดินทางจากกรุงเทพราวชั่วโมงเศษๆ ก็ถึง
กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน ภาค 1 สถานที่อันหมายจับตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
กำหนดไว้ให้เป็นที่ควบคุมผู้ต้องสงสัย รั้วลวดหนามกั้นทางเป็นระยะๆ
เจ้าหน้าที่ตำรวจตรึงกำลังเข้ม สถานที่นี้ คือที่จองจำภายใต้เงื่อนไขว่า
จะต้องไม่ใช่สถานที่ที่เป็นสถานีตำรวจ ที่คุมขัง เรือนจำ
และจะปฏิบัติต่อผู้ถูกควบคุมเหมือนผู้กระทำความผิดไม่ได้
และนี่คือที่พำนักล่าสุดของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม 1 ใน 9 แกนนำ กปปส.
ที่ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา
วิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์
นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์
นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และผม ฝ่าแนวรั้วลวดหนามหลายชั้น
เข้าไปพบเขา ยามตะวันโพล้เพล้วันนี้
“ เจ้าหน้าที่ตำรวจให้การดูแลดี ตอนนี้ผมยังเป็นผู้ต้องสงสัย
มีสิทธิคัดค้านการควบคุมตัวเจ้าพนักงานได้ 7 วัน ซึ่งจะครบวันอาทิตย์นี้
แต่ทราบว่าพนักงานสอบสวนจะนำตัวไปขออำนาจจากศาลอาญาควบคุมต่อในวันพรุ่งนี้
ดังนั้นจะส่งทนายความไปคัดค้านควบคุมตัวและขอให้ศาลปล่อยในวันพรุ่งนี้เช่นเดียวกัน”
สนธิญาณในใบหน้าที่อิดโรยเล็กน้อย
สวมเสื้อยืด คลุมทับด้วยสูทลำลองสีน้ำตาลบางๆ
เล่าให้ผู้มาเยือนฟังด้วยน้ำเสียงที่เนิบช้า ชัดถ้อยชัดคำ
เขาพูดกรณีนายจตุพร พรหมพันธ์
และพรรคเพื่อไทย วิเคราะห์เป็นตุเป็นตะ ว่าสาเหตุที่โดนจับเนื่องจากมีความแตกแยกกับแกนนำ
กปปส.
“ขอปฏิเสธไม่เป็นความจริง
กปปส.เป็นเพียงนามสมมุติ ทุกคนเข้ามาร่วมต่อสู้กับระบอบทักษิณ
ที่ทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเผด็จการรัฐสภา ทุกคนมีความรักกลมเกลียว สำหรับผมแล้ว
เพียงกำนันสุเทพ ประกาศบนเวทีว่าเป็นเพื่อนรักของเขา ผมก็ประทับใจแล้ว ชีวิตกับชีวิตจึงแลกกันได้”
สนธิญาณ เล่าว่า เขาเป็นนักธุรกิจ
แต่ละวันต้องเซ็นเอกสารเป็นร้อยฉบับจาก 7 บริษัท ต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆตลอดเวลา
นอนในม็อบน้อยมาก ครั้งหนึ่งนอนกับนายสุเทพที่กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการ
แจ้งวัฒนะ ทุกคนรู้ว่าเขาไม่มีการ์ด
ไม่กลัวตาย เติบโตท่ามกลางดินปืน ไปไหนมาไหนคนเดียวตามปกติ รับผิดชอบเวทีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกับนายถาวร
เสนเนียม ก็กลับไปนอนบ้านหรือไปนอนโรงแรมแถวอนุสาวรีย์ชัย
หลังจากยุบไปรวมกับเวทีลุมพินี
ก็ไปนอนบ้านและนอนโรงแรม สุดท้ายก็นอนที่โรงแรมแถวรัชดา
โดยออกจากอโศกไปให้กำลังใจชุมพล และพุฒิพงษ์
ปุณกัณฑ์ คืนนั้นมีคนโทรแจ้งว่า
มีตำรวจไปล้อมโรงแรม ซึ่งรู้ทีหลังมีการดักฟังโทรศัพท์
จึงตัดสินใจย้ายโรงแรมหนี
เช้าวันจันทร์ให้พนักงานบริษัทนำเอกสารมาให้เซ็นที่โรงแรมเซ็นทรัล ไปเผลอเปิดโทรศัพท์เล่นไลน์
จาก 11 โมงถึงบ่ายโมง ตำรวจก็ควบคุมตัวไป
สนธิญาณบอกว่าที่เล่าทั้งหมดจึงไม่ใช่ความขัดแย้งตามที่กล่าวหา
และว่าเมื่อถูกควบคุมตัวมาที่ตชด. มีตำรวจสันติบาลมาสอบสวนมาถามเกือบทุกวัน
เริ่มตั้งแต่คำถาม ทำไมต้องมาร่วมกับ กปปส. ได้อธิบายว่า
เข้าร่วมมาต่อสู้ระบอบทักษิณ เขาถามอีกว่า ระบอบทักษิณเป็นอย่างไร จึงอธิบายคุณลักษณะระบอบทักษิณ
3 ประเด็นด้วยกัน 1.
ตั้งพรรคการเมืองโดยนายทุน เพียงคนเดียวที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างในพรรคการเมือง
ใช้อำนาจในพรรคการเมืองยึดกุมอำนาจรัฐ เป็นระบบเผด็จการผ่านนิติบัญญัติ
ผ่านบริหารเพียงคนเดียว 2.
ระบอบทักษิณยังออกนโยบายเอื้อต่อการคอร์รัปชั่น
3. พ.ต.ท.ทักษิณ ให้การสนับสนุนคนที่ละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์
ยกตัวอย่างเช่น นายสุรชัย แซ่ด่าน
อยู่ในคุกสบายออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ
จ่ายเงินดูแลทุกเดือน
ทำให้ต้องต่อสู้กับเรื่องเหล่านี้
สนธิญาณ ตอบคำถามพนักงานสอบสวนว่า พนักงานสอบสวนถามว่าทำไมจึงจงรักภักดี ได้อธิบายว่า ปี 2519 เคยเข้าร่วมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย
ตอนนั้นคิดล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ปี 2530 ได้หันกลับมาศึกษาพระพุทธศาสนา
ศึกษาความเป็นจริงบทบาทพระมหากษัตริย์กับประเทศไทยทำให้รู้ว่าเข้าใจผิดมาตลอด
การต่อสู่เพื่อมหากษัตริย์เป็นการไถ่บาปของตนเมื่อมาทำสื่อก็เพื่อปกป้อง
ไปบรรยายก็บรรยายเรื่องของสถาบันซึ่งพนักงานสอบสวนไม่ได้ซักอะไรต่อ
เขาเล่าต่อว่า
หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนถามทำไมเข้าร่วม กปปส.ก็บอกไปว่า
ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ
เขาถามอีกว่าเห็นด้วยกับชัตดาวน์กรุงเทพหรือไม่
ตอบว่าเห็นด้วยเพราะอาจทำให้ข้าราชการไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณออกมาชุมนุม
แต่อาจทำให้การบริการประชาชนช้าไปบ้าง แต่ไม่ได้มีส่วนทำให้เศรษฐกิจเสียหาย
เศรษฐกิจพังเพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พนักงานสอบสวนถาม
ชัตดาวน์จะเลิกเมื่อไหร่ จึงตอบว่าจะเลิกเมื่อยิ่งลักษณ์ลาออก
และมีการปฏิรูปประเทศเกิดขึ้น
“ผมยืนยันเราต่อสู้จนกว่าพวกเราได้ชนะ ศาลไม่ปล่อยไม่เป็นไรเพราะคุกขังใจคนไม่ได้
ถ้าศาลปล่อย ผมยินดีปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาล
แต่ผมก็จะสู้กับระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ต่อไปตามวิธีการที่มีอยู่”
แม้จะถูกจองจำภายใต้ถ้อยคำว่าควบคุมตัว
แม้การสิ้นอิสรภาพของมนุษย์แม้เพียงนาทีหนึ่งจะเป็นเรื่องใหญ่หลวงมากสำหรับชีวิตหนึ่ง
ที่มิได้ไปก่อกรรมทำเข็ญกับใคร แต่สีหน้า แววตาของสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม
ยังคงแข็งกร้าวและมุ่งมั่นสู่ชัยชนะ นั่นคือการขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณออกไปให้สิ้นแผ่นดินไทย
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 965 ประจำวันที่ 14-20 กุมภาพันธ์ 2557)