วันอาทิตย์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2557

หรือดอกไม้นั้นจะบานเพื่อเธอ



เมื่อฤดูหนาวอันยาวนานสิ้นสุดลง ก็ได้เวลาที่เหล่าดอกไม้ฤดูร้อนจะบานสะพรั่ง ต้นงิ้วแดงออกดอกสีส้มแดงสดใส ไม้ผลัดใบที่สูงได้ถึง 35 เมตรชนิดนี้ มักขึ้นอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำวัง เวลาบานดอกเป็นช่วงที่คึกคักราวกับมีงานเลี้ยง ซึ่งเราต้องแหงนจนคอตั้งบ่าจึงจะได้เห็นว่า แขกที่มาร่วมงานนั้นมากันตั้งแต่เช้า ก่อนจะหายไปในช่วงแดดจัด ๆ แล้วจึงกลับมาใหม่ในช่วงเย็นเมื่อแดดราแรง

ดอกไม้สีแดง หรือดอกไม้ที่มีสีสันเจิดจ้าสดใส นอกจากดอกงิ้วแดง ยังมีดอกทองกวาว ดอกเหลืองอินเดีย ดอกชบา ดอกพวงแสด และดอกทองหลาง ซึ่งชนิดหลังนี้แค่ดอกเดียวมีน้ำหวานมากถึง 1-2 ซีซี เมื่อดอกไม้เหล่านี้แบ่งบาน นกจะเห็นได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นนกกินปลีดำม่วง นกกินปลีอกเหลือง นกปรอดหัวสีเขม่า นกปรอดสวน นกเอี้ยงสาริกา นกเอี้ยงหงอน ฯลฯ จึงพากันแวะเวียนบินเข้าบินออกสลับกันไปมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเช้า ๆ ดอกไม้มีน้ำหวานมาก หากมีเวลาพอที่จะเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ เราจะได้เห็นความน่ารักของเพื่อนในธรรมชาติเหล่านี้

อย่างที่รู้กันโดยทั่วไปว่า แมลงกับผีเสื้อต่างมีบทบาทสำคัญในการช่วยผสมเกสร แต่นก หรือแม้แต่ค้างคาวก็เป็นผู้ช่วยที่ไม่อาจมองข้ามของพืชเขตร้อนในเมืองไทย หลายครั้งเราพบเห็นนกวนเวียนอยู่กับดอกไม้ที่ไม่จำเป็นต้องมีกลิ่น เพราะนกส่วนมากไม่ใช้ประสาทสัมผัสการดม ทำท่ามุดหัวเข้าไปเพื่อดื่มกินน้ำหวานที่ซ่อนลึกอยู่ภายในดอก นกที่ช่วยผสมเกสรจึงตัวเล็กและมีปากแหลมยาว ส่วนใหญ่เกสรดอกไม้จะยื่นอยู่เหนือทางเข้าหาน้ำหวาน เมื่อนกยื่นปากเข้าไปเกสรจะปัดถูกหัวมัน หรือไม่ลำตัวนกก็ต้องเบียดชิดกับเกสร ทำให้ละอองเรณูติดขนนกไปผสมข้ามกับต้นอื่น

นกจึงทำหน้าที่ทำนุบำรุงพันธุ์ไม้ แล้วยิ่งถ้าต้นไหนมีนกลงเยอะ ๆ ดอกที่ออกช่อแน่น ๆ จะร่วงลงมาเกลื่อนพื้น ซึ่งนกนั่นเองที่ช่วยคัดเอาดอกดี ๆ ไว้ เพราะช่อดอกที่แน่นเกินไปจะทำให้ผลลีบ ไม่แข็งแรง ขณะเดียวกันต้นไม้ก็ตอบแทนนกด้วยน้ำหวานปริมาณมากและให้พลังงานสูง ดับกระหายได้อย่างดี โดยเฉพาะในฤดูแล้งที่นกหาน้ำค้างดื่มยากเช่นในเวลานี้

นกกินปลีดำม่วงมักมาเป็นคู่ ตัวผู้มีสีขนฉูดฉาดกว่าตัวเมีย สีม่วงเหลือบเมื่อสะท้อนแสงแดดดูแวววาวราวกับอัญมณี สีขนที่สดใสนี้ใช้ในการเกี้ยวพาราสีและประกาศอาณาเขตให้ตัวอื่นเห็น เสียงร้อง สวิด...สวิด ที่เล็กแหลมของมันได้ยินมาแต่ไกล เหล่านกกินปลีเป็นนกขนาดเล็กมาก ปากยาวโค้ง ภายในมีลิ้นยาว ซึ่งมีลักษณะห่อโค้งเข้าด้านข้างคล้ายหลอดกาแฟ เพื่อสะดวกในการดูดน้ำหวาน

เมื่อเราเห็นนกกินปลี เราอาจนึกถึงนกยอดนิยมอย่างฮัมมิงเบิร์ด นกทั้งสองชนิดต่างก็เชี่ยวชาญด้านกินน้ำหวานจากดอกไม้เหมือนกัน ทว่าทั้งนกกินปลีและฮัมมิงเบิร์ดไม่ได้เป็นเครือญาติกันสักนิด

ฮัมมิงเบิร์ดพบในทวีปอเมริกา ส่วนนกกินปลีพบเฉพาะในแอฟริกาและเอเชียเท่านั้น สำหรับในประเทศไทยเรามีนกกินปลีอาศัยอยู่ถึง 15 ชนิด เหล่านกกินปลีไม่สามารถกระพือปีกลอยนิ่งกลางอากาศอยู่หน้าดอกไม้เพื่อดูดน้ำหวานได้เป็นเวลานาน ๆ อย่างฮัมมิงเบิร์ด ซึ่งสามารถกระพือปีกได้เร็วถึง 50 ครั้ง ต่อวินาที นกกินปลีจึงต้องอาศัยการปีนป่ายดอกไม้และการทรงตัวที่เป็นเลิศ

ขนาดตัวที่เล็กของมันทำให้ต้องเสียพลังงาน หรือสูญเสียความร้อนมาก ทั้งนกกินปลีและฮัมมิงเบิร์ดจึงต้องหากินตลอดเวลา มิฉะนั้นมันจะหมดแรงไปเสียก่อน เช่นนี้เราจึงมักเห็นเหล่านกกินปลีกระตือรือร้นวนเวียนแวะเข้าแวะออกดอกไม้ชนิดนั้นชนิดนี้แทบทั้งวันก่อนพลังงานจะหมด

และก็บ่อยครั้งอีกเหมือนกันที่นกกินปลีขโมยน้ำหวานจากดอกเหลืองอินเดียทางลัด โดยการเจาะรูดูดน้ำหวานจากบริเวณโคนดอก ไม่ยอมเข้าด้านหน้าดอก ซึ่งจะโดนเกสรเป็นการช่วยผสมพันธุ์ดอก อาจไม่ได้หมายความว่า นกกินปลีกลายเป็นจอมอู้งานหรืออย่างไร ไม่ยอมทำหน้าที่ผสมเกสร แต่เป็นไปได้ว่า ดอกเหลืองอินเดีย รวมทั้งดอกไม้อีกหลายชนิด ไม่ได้ออกแบบมาให้นกกินปลีผสม จึงมีท่อเกสรยาวเกินไปสำหรับปากมัน ทำให้ต้องขโมยกินแบบนั้น

ก่อนดอกไม้จะร่วงโรย ขอเพียงใส่ใจและชื่นชม ไม่เฉพาะคนปลูกที่เพียรรดน้ำ พรวนดิน แต่ขอบคุณไปถึงมวลมิตรตัวกระจ้อยที่ทำให้โลกสวยงามเสมอด้วยดอกไม้ แมลง ผีเสื้อ ค้างคาว และนก ซึ่งทำหน้าที่ที่ธรรมชาติมอบหมายมาอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง และไม่เคยน้อยใจแม้ใครบางคนจะไม่เห็นคุณค่า
           


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 969  ประจำวันที่ 14 - 20 มีนาคม 2557)  
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์