จอกหูหนูลามไม่หยุดล่าสุดแพร่กระจายกว่า
700 ไร่ ชลประทานทดลองฉีดพาราควอทกำจัด เผยได้ผลระดับหนึ่ง ระบุจะใช้เรือกำจัดวัชพืชและแรงคนเป็นหลักก่อนเพื่อความสบายใจของผู้ใช้น้ำ
ซึ่งการฉีดสารเคมีจะเป็นทางเลือกสุดท้าย ขณะที่ผอ.สิ่งแวดล้อมภาค 2 จวกไม่ควรฉีดสารเคมีลงในแหล่งน้ำสาธารณะแม้จะเป็นการสาธิตก็ตาม
ชี้ชลประทานควรหาต้นเหตุไม่ใช่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
และเป็นเจ้าภาพร่วมหาแนวทางการแก้ปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งจังหวัด
ไม่ใช่คิดแก้ปัญหาเอง
หลังจากเมื่อช่วงกลางเดือน
มี.ค.ที่ผ่านมา ลานนาโพสต์ ได้นำเสนอข่าวการแก้ปัญหาจอกหูหนูที่แพร่กระจายอยู่อย่างหนาแน่นบนผิวหน้าหน้าเขื่อนกิ่วลม
ส่งผลกระทบให้เรือแพท่องเที่ยวและเรือหางยาว ไม่สามารถเข้าออกท่าเรือหน้าเขื่อนได้
ซึ่งเบื้องต้นทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา กิ่วลม-กิ่วคอหมา
ได้แก้ปัญหาโดยการปล่อยจอกหูหนูออกทางประตูระบายน้ำ ทำให้แก้ปัญหาจอกหูหนูที่อัดแน่นอยู่หน้าเขื่อนได้ระยะหนึ่ง
แต่ล่าสุดจอกหูหนูที่ลอยอยู่ในอ่างเก็บน้ำก็ได้ลอยมาอัดแน่นอยู่บริเวณหน้าเขื่อนและแพร่กระจายเป็นบริเวณกว้างเช่นเดิม
ลานนาโพสต์จึงได้ติดตามความคืบหน้าในการแก้ปัญหาจอกหูหนูอีกครั้ง
ซึ่งทราบว่าเมื่อวันที่ 9 เม.ย.57 ที่ผ่านมา ทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา
กิ่วลม-กิ่วคอหมา ได้มีการสาธิตการใช้สารกำจัดวัชพืช “พาราควอท”
ฉีดพ่นไปยังจอกหูหนูที่ลอยอยู่เหนือน้ำ
เพื่อทดสอบว่าสามารถทำลายจอกหูหนูได้หรือไม่
ในเรื่องดังกล่าว
นายฤทัย
พัชรานุรักษ์ ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา กิ่วลม-กิ่วคอหมา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 9
เม.ย.ที่ผ่านมา ทางโครงการฯ
ได้มีการจัดอบรมการควบคุมและกำจัดวัชพืชน้ำระบบชลประทานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งที่เขื่อนกิ่วลมได้ประสบปัญหาจอกหูหนูซึ่งเป็นวัชพืชน้ำชนิดหนึ่งตอนนี้จอกหูหนูที่ประเมินได้มีอยู่ในพื้นที่ประมาณ
700 กว่าไร่ จึงได้มีการสาธิตการใช้สารพาราควอท ทดลองกับจอกหูหนูไปบางส่วนเท่านั้น
ยังไม่ได้นำมาปฏิบัติจริง ซึ่งวิธีนี้เคยใช้ในพื้นที่ภาคกลาง และภาคใต้ จึงลองมาใช้กับพื้นที่เราดูก่อน จากการสาธิตก็ถือว่าได้ผล
ซึ่งถ้าใช้สารในปริมาณความเข้มข้นน้อยก็จะไม่มีอันตราย แต่ในเรื่องของความปลอดภัย
ด้านความรู้สึกของผู้ใช้น้ำ ผู้ประกอบการแพ ก็คิดว่ายังไม่จำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมี
เพราะเป็นห่วงเรื่องผลกระทบ คุณภาพน้ำที่ต้องนำไปใช้ จึงจะใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย อันดับแรกจะใช้วิธีกำจัดโดยเครื่องจักรและแรงคนเป็นหลักก่อน
ในช่วงสัปดาห์หน้าจะนำเครื่องจักรและเรือกำจัดวัชพืชจากฝ่ายเรือขุดและเรือกำจัดวัชพืชที่
7 จ.พิษณุโลก เข้ามากำจัดจอกหูหนูเป็นหลัก
ด้านนายสุวิทย์
ขัตติยะวงค์ ผอ.สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาค 2 ลำปาง กล่าวว่า
ขึ้นชื่อว่าเป็นสารเคมี
ยากำจัดวัชพืชโดยตรงก็ไม่ควรที่จะนำไปฉีดลงในแหล่งน้ำสาธารณะ
ถ้าจะทำก็ต้องนำวัชพืชขึ้นมากำจัดบนบกดีกว่า เพราะสารพิษตกค้างจะต้องมีแน่นอน ปกติคงไม่มีใครนำยาฆ่าหญ้าไปฉีดลงในน้ำแน่ๆ
เพราะเป็นยาอันตราย จะสาธิตหรือไม่สาธิตก็ตามแต่
ไม่ควรจะนำยาอันตรายลงไปฉีดพ่นในน้ำสาธารณะ และเชื่อว่าไม่มีหน่วยงานที่ไหนแนะนำแน่นอน
นายสุวิทย์
กล่าวอีกว่า ในระยะสั้นจะต้องโกยจอกขึ้นมาบนบกเพื่อกำจัดให้ได้
ส่วนในระยะยาวก็ต้องหาสาเหตุของการเกิดจอกหูหนูในครั้งนี้เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ต้องมานั่งพูดคุยกันในหลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งทางจังหวัด เกษตร ชลประทาน สิ่งแวดล้อม และท้องถิ่น
เพราะถ้าไม่สามารถจัดการตั้งแต่ต้นน้ำได้ มาทำทางปลายน้ำก็แก้ปัญหาไม่ได้
ต้องหาสาเหตุและที่มาให้ได้ก่อนจึงจะแก้ปัญหาได้ถูกจุด ชลประทานอาจจะคิดว่าเป็นอ่างเก็บน้ำในความรับผิดชอบของตัวเอง
ซึ่งอาจจะเป็นวิธีการคิดของชลประทาน แต่ที่ดีที่สุดชลประทานควรจะเป็นเจ้าภาพ
ร่วมหารือกับหน่วยงานอื่นๆเพื่อช่วยกันหาทางแก้ปัญหา หรืออาจจะให้จังหวัดเป็นตัวกลางก็ได้
แต่ชลประทานกลับหาทางแก้ปัญหาเอง ลองผิดลองถูกไปเรื่อย
ซึ่งเมื่อทำไปแล้วอาจจะไปเพิ่มปัญหาอีกอย่างก็ได้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 974 ประจำวันที่ 18 - 24 เมษายน 2557)