จอกหูหนูย้ายถิ่นแออัดเต็มน่านน้ำสำเภาทองจากฝั่งกว่า
10 เมตร ชาวแพโอดลำบากนำแพเข้าเกือบ 1 ชั่วโมง
นอกจากนั้นยังพบสาหร่ายเพิ่มมาอีก รวมวัชพืชถึง 3
สายพันธุ์ทำให้น้ำเริ่มเน่าเสีย ขณะที่ทางโครงการกิ่วลมฯ นำเรือกำจัดวัชพืชลงกำจัดจอกที่หน้าเขื่อนกิ่วลมแล้ว
เตรียมย้ายไปกำจัดที่แพสำเภาทองสิ้นเดือนนี้
ลานนาโพสต์ยังคงติดตามปัญหาการเกิดจอกหูหนูในบริเวณอ่างเก็บน้ำเขื่อนกิ่วลมอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งล่าสุดทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา กิ่วลม-กิ่วคอหมา ได้นำเรือกำจัดวัชพืชจากฝ่ายเรือขุดและเรือกำจัดวัชพืชที่
7 จ.พิษณุโลก เข้ามาช่วยในการกำจัดจอกจำนวน 1 ลำ
ซึ่งจากการตรวจสอบบริเวณหน้าเขื่อนกิ่วลมล่าสุดในวันที่ 24
เม.ย. 57
พบว่าจอกหูหนูที่เคยแออัดอยู่ด้านหน้าเขื่อนหายไปทั้งหมดแล้ว แต่ขณะเดียวกัน
จอกหูหนูกลับสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ประกอบการแพทางฝั่งด้านสำเภาทอง
เนื่องจากยังคงมีจอกหูหนูลอยไปออหนาแน่นอยู่ริมฝั่งมาเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนแล้ว และยังพบสาหร่ายอีก 2
สายพันธุ์ทำให้การเดินแพมีอุปสรรคอย่างมาก
นางศริญญา
ไชยยะ เจ้าของแพหมูอาร์ต เปิดเผยว่า
ตอนนี้ผู้ประกอบการแพฝั่งสำเภาทองก็ยังประสบปัญหาหนักเกี่ยวกับจอกหูหนูอยู่
ซึ่งที่หน้าแพสำเภาทองมีจอกหูหนูมาอออยู่จากฝั่งออกไปกลางน้ำยาวกว่า 10 เมตร
ถึงแม้จะยังมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง แต่การเข้าออกของแพลำบากมาก โดยเฉพาะในช่วงเช้าที่ต้องใช้เวลาเข้าออกแพนานกว่า
1 ชั่วโมง เพราะจอกได้เข้าไปติดอยู่ในใบพัด นอกจากนั้นเรือหางยาวที่ออกไปหาปลาก็ประสบปัญหาวิ่งไม่ได้
ถ้าจอกเข้าไปติดในใบพัดก็จะทำให้เครื่องอืดและเร่งไม่ขึ้น
นางศริญญา
กล่าวอีกว่า นอกจากปัญหาจอกหูหนูที่พบแล้ว ยังมีสาหร่ายเกิดขึ้นมาอีก 2
ชนิดมาเกาะเกี่ยวใบพัดและติดตามบันไดของแพ
ซึ่งเป็นสาหร่ายที่อาศัยอยู่ในน้ำลึกมีทั้งแบบลอยน้ำและฝังรากในดิน
ทั้งที่กลางน้ำลึกถึง 4 เมตร
แต่สาหร่ายก็ยังเติบโตโผล่ขึ้นมาบนน้ำได้
ตรงนี้ก็เป็นอุปสรรคมากที่ใบพัดเรือจะไปเกี่ยวโดนสาหร่ายขึ้นมาอีก
ซึ่งส่วนนี้ยังไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรได้
ตอนนี้ทราบว่าทางโครงการกิ่วลมฯได้นำเรือกำจัดวัชพืชมาช่วยกำจัดที่หน้าเขื่อน
และจะอยู่นานหลายเดือน
ล่าสุดได้ล่องแพไปหน้าเขื่อนก็เห็นว่าตรงจุดนั้นมีจอกอยู่ไม่มากแล้ว
จึงอยากให้เข้ามาแก้ปัญหาที่สำเภาทองก่อน เพราะน้ำได้เริ่มเน่าเสีย มีกลิ่นเหม็น
อยากให้ช่วยเหลือพวกชาวแพทางฝั่งนี้ด้วย
ด้านนายฤทัย พัชรานุรักษ์
ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา กิ่วลม-กิ่วคอหมา เปิดเผยว่า
ทางโครงการฯได้รับเรือกำจัดวัชพืชมาแล้วจำนวน 1 ลำเมื่อวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งได้นำเรือลงเริ่มทำงานแล้ว โดยวิธีการทำงานของเรือนั้น
เรือจะมีตะแกรงด้านหน้าและด้านหลัง โดยด้านหน้าจะไว้ใช้ตักวัชพืช
มีสายพานลำเลียงไปเก็บไว้ในท้องเรือ
เมื่อเต็มแล้วก็จะวิ่งขึ้นฝั่งและเปิดสายพานทำงานนำวัชพืชที่เก็บไว้ใต้ท้องเรือลำเลียงออกไปทางตะแกรงด้านหลังเรือเพื่อเอาวัชพืชขึ้นไปกำจัดบนฝั่ง
โดยในการตักครั้งหนึ่งจะสามารถเก็บจอกหูหนูได้ประมาณ
1.5 ตัน ซึ่งตามแผนการทำงานกำหนดระยะเวลาไว้ 5 เดือน ตอนนี้ทางหน้าเขื่อนปัญหาจอกหูหนูคลี่คลายลงแล้ว
แต่ยังมีอยู่ในช่วงกลางอ่างและแพฝั่งสำเภาทอง
จึงจะเคลื่อนย้ายเรือไปในช่วงสิ้นเดือนนี้
เมื่อสอบถามถึงการหาสาเหตุการเกิดจอกหูหนู
นายฤทัย กล่าวว่า จากการได้สำรวจทางต้นน้ำก็ไม่พบว่ามีแหล่งอาศัยของจอกแต่อย่างใด
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญจากกรมชลประทานมาตรวจสอบดู ก็พบว่าลักษณะของจอกหูหนูแพร่กระจายได้ด้วยสปอร์ที่สามารถเกิดขึ้นได้หากสารอาหารภายในน้ำเอื้ออำนวย
อาจจะมีสปอร์ปลิวตามลมมาจากที่ใดที่หนึ่ง และมาตกภายในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนกิ่วลม เมื่อมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมก็จะงอกเจริญเป็นหน่วยชีวิตใหม่ขยายพันธุ์ออกไปเรื่อยจนกระจายเป็นบริเวณกว้างดังกล่าว
“ทางเราได้พยายามที่จะแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้หมดก่อนในปีแรก
ซึ่งเรามีเรือกำจัดวัชพืชที่ขอมาใช้งานได้อยู่ จึงนำเข้ามาดำเนินการก่อน หากไม่สำเร็จคงต้องขอความร่วมมือจากภาคส่วนอื่นๆต่อไป
เพราะได้มีการรายงานปัญหาไปยังจังหวัดให้รับทราบแล้ว
โดยผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้ทางเราแก้ไขโดยเร่งด่วน” ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา
กิ่วลม-กิ่วคอหมา กล่าว