ดูเหมือนว่าไม่กี่ปีมานี้เอง
ที่เสื้อลายดอกเข้ามาครองใจผู้คนในช่วงเทศกาลสงกรานต์จนเสื้อหม้อห้อมอันเป็นเอกลักษณ์ของหมู่เฮาชาวเหนือยังต้องชิดซ้าย
เมื่อพูดถึงเสื้อลายดอก
เราอาจนึกถึงความเป็นไทยสไตล์ลูกทุ่ง ๆ นึกถึงผู้ชายชาวบ้านที่ประแป้ง หวีผมเรียบแปล้
นึกถึงไอดอลไทยลูกทุ่งอย่างเจนภพ จบกระบวนวรรณ
ในขณะที่เสื้อหม้อห้อมกับเสียงสะล้อซอซึงของจรัล มโนเพ็ชร ยังอยู่ในใจของพี่น้องท้องถิ่นเมืองเหนือ
คำว่า
“หม้อห้อม” ตามความหมายของภาษาเมืองแพร่นั้น “หม้อ” ก็คือภาชนะใบใหญ่ ๆ ที่ไว้ใช้สำหรับการย้อม
ส่วน “ห้อม” หมายถึงต้นห้อม พืชล้มลุกในตระกูลคราม
โดยชาวบ้านจะตัดเอากิ่งและใบของต้นห้อมมาแช่น้ำทิ้งไว้ในบ่อหมัก ซึ่งเป็นบ่อซีเมนต์ขนาดใหญ่พอประมาณไว้นานหลายเดือนจนเปื่อยเน่าย่อยสลาย
ก็จะได้น้ำสีครามเข้ม เมื่อผสมกับปูนขาวแล้ว กากที่ได้ก็คือผงครามที่จะใช้เป็นผงย้อม
เวลาย้อมก็ต้มย้อมโดยใส่ผ้าดิบลงในกระทะใบใหญ่ ๆ
โดยใช้น้ำปูนขาวกับน้ำขี้เถ้าเป็นส่วนผสมหลัก อยากให้เข้มมาก ๆ ก็ย้อมหลาย ๆ ครั้ง
จนท้ายสุดนำผ้าดิบที่ย้อมจนพอใจแล้วลงไปต้มกับน้ำเกลือเป็นขั้นตอนสุดท้ายเพื่อไม่ให้สีตกเวลาใส่
จากนั้นจึงตากทิ้งไว้จนแห้งสนิท นำไปตัดเป็นเสื้อหม้อห้อม หรือกางเกงต่อไป
ตำนานเสื้อหม้อห้อมมีบันทึกว่า
ชาวไทยพวนที่อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ เป็นต้นตำรับในการผลิตขึ้นสวมใส่มาเมื่อ 100 กว่าปีก่อน
ทว่าจุดเริ่มต้นของความนิยมชมชอบในเสื้อหม้อห้อมนั้น เกิดขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่
2 เมื่อชาวไทยพวนที่อพยพเข้ามาอยู่ที่อำเภอเมืองแพร่ได้เย็บเสื้อผ้าฝ้ายย้อมสีครามดำออกจำหน่ายให้แก่คนงานและลูกจ้างทำป่าไม้
นี่เองที่จุดประกายให้เสื้อหม้อห้อมกลายเป็นที่ชื่นชอบ เพราะความที่มันทั้งทนทาน
เบาสบาย ไม่ร้อนเกินไป แถมยังดูแลรักษาง่ายเพราะมีสีเข้ม จึงไม่เปื้อนง่าย
ซักแล้วยังคงดูสะอาด ใส่ได้หลายโอกาส ราคาไม่แพง
ครั้นในปี
พ.ศ. 2496
นายไกรศรี นิมมานเหมินท์
ได้จัดงานเลี้ยงอาหารแบบขันโตกเพื่อเป็นเกียรติแก่นายสัญญา ธรรมศักดิ์
และกงสุลอเมริกันที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้กำหนดธีมงานอย่างเก๋ไก๋ให้ผู้มาร่วมงานสวมเสื้อผ้าฝ้ายคอกลมย้อมสีคราม
คาดผ้าขาวม้า หลังจากงานนี้ก็ได้เกิดปรากฏการณ์กระเพื่อมไหวในสังคมชาวเหนือ คือ
หม้อห้อมฟีเวอร์ มีผู้นิยมสวมใส่เสื้อหม้อห้อมกันอย่างแพร่หลาย
จนทำให้คนทั่วไปคิดว่าเสื้อหม้อห้อมนี้เป็นเสื้อประเพณีนิยมของชาวล้านนา
ซึ่งอันที่จริง
สำหรับคนเมืองแพร่แล้ว ผู้หญิงพื้นเมืองแพร่นิยมนุ่งซิ่นแหล้ (ผ้าถุงทอพื้นดำมีริ้วสีแดงแนวนอนที่ช่วงปลาย)
กับเสื้อหม้อห้อมคอสามเหลี่ยม แขนสามส่วน ส่วนของผู้ชายจะนุ่งเตี่ยวกี
คือกางเกงขาก๊วย และเสื้อกุยเฮงที่มีคอกลม ผ่าอก ทั้งหมดย้อมด้วยห้อมเป็นสีน้ำเงินเข้ม
บ้านทุ่งโฮ้งกลายเป็นแหล่งผลิตหม้อห้อมแหล่งใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุดของจังหวัดแพร่
คนบ้านทุ่งโฮ้งมีเชื้อสายไทยพวนกันทั้งหมด แต่เดิมตั้งถิ่นฐานอยู่ใน สปป. ลาว
และเข้ามาในเมืองแพร่จากการกวาดต้อนเป็นเชลยศึก ในอดีตการทำเสื้อหม้อห้อมคือรายได้หลักของคนบ้านทุ่งโฮ้งที่มีอยู่ด้วยกัน
7 หมู่ โดยลักษณะการทำเป็นแบบบ้านใครบ้านมัน
แต่ละบ้านก็จะมีวิธีการและเทคนิคย้อมที่ต่างกัน จนถือเป็นธรรมเนียมของคนที่นี่ว่าจะไม่มีการถามกันถึงสูตรการย้อม
ทว่าปัจจุบันเหลือทำกันไม่มากแล้ว
สำหรับคนเมืองแพร่
กระแสรณรงค์ให้สวมใส่เสื้อหม้อห้อมในช่วงเทศกาลสงกรานต์คงเข้มข้น เพราะเป็นต้นตำรับอยู่แล้ว
เสื้อลายดอกจึงรุกคืบเข้ามาเรียกคะแนนนิยมจากจังหวัดอื่นในภาคเหนือแทนที่จะเจิดจ้าอยู่เฉพาะในแถบจังหวัดภาคกลาง
เสื้อลายดอกอาศัยโยงใยอยู่กับความเป็นไทย
และเทศกาลสงกรานต์ก็ดูไทยมาก ๆ เสียด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้ว เสื้อในเทศกาลสงกรานต์ของผู้ชายเดิมเป็นเสื้อคอพวงมาลัย
หรือคอกลม ผ้าลายดอก หรือผ้าพื้น ต่อมามีการเอาผ้าลายดอกมาตัดเป็นเสื้อปกเชิ้ต
หรือเสื้อปกฮาวายกัน คงเห็นว่าใส่ง่าย เข้ากับกางเกงต่าง ๆ
ได้ดีกว่าเสื้อคอพวงมาลัย เพราะถ้าเป็นเสื้อคอพวงมาลัยตามปกติต้องมีผ้าขาวม้าคาดเอว
หรือไม่ก็ต้องมีผ้าห้อยบ่าสองชายด้วยจึงจะครบ
เสื้อลายดอกยังเป็นอะไรที่สดใส
น่าตื่นตาตื่นใจ ถูกจริตกับเทศกาลสงกรานต์ที่เป็นเทศกาลแห่งความรื่นเริงบันเทิงใจ
ดังนั้น การสวมเสื้อลายดอกไม้หลากหลายรูปทรงและสีสันจึงเหมาะกับเทศกาลแห่งความสนุกสนาน
เหมาะกับฤดูร้อนเดือนเมษายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกไม้นานาชนิดกำลังบานสะพรั่ง
นอกจากนี้ การใช้สัญลักษณ์ดอกไม้หลายสีสันยังให้ความหมายที่ดีในการเริ่มต้นปีใหม่ไทยด้วยความสดใสเบิกบานอีกด้วย
ไม่แปลกใจที่ทุกวันนี้มองไปทางไหนก็เห็นแต่เสื้อลายดอกสีฉูดฉาด
แต่ปลื้มใจคนเมืองแพร่ ในเสื้อสีครามที่พวกเขาสวมใส่มีเรื่องราวมากกว่าค่านิยมใหม่
ๆ จะเข้ามาทดแทนได้
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 974 ประจำวันที่ 18 - 24 เมษายน 2557)