วันอาทิตย์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2557

ชัยชนะสะท้านโลกันต์


ล้ายบรรหาร ศิลปอาชา  ไม่ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ที่เมืองสุพรรณ คล้าย เสนาะ เทียนทอง ถูกลืมที่สระแก้ว หรือแม้กระทั่งย้อนหลังไปถึงยุคบุญเท่ง ทองสวัสดิ์ ไม่มีคนลำปางมากางร่มให้รูปหาเสียงยามฝนตก ความปราชัยของ “บุญชู ตรีทอง” นาทีนี้ก็ละม้ายคล้ายกัน

ใครจะคาดคิดว่า เจ้าของอาคารบุญชู ตรีทอง  ในบริเวณโรงเรียนบุญวาทย์ เจ้าของที่ดินบริจาคนับร้อยไร้ อันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  อีกทั้งเจ้าของคะแนนเสียงสูงสุดในการเลือกตั้ง ส.ส. จะปราชัยให้กับ ทนายวราวุฒิ หน่อคำ ที่ว่ากันไปแล้ว ชื่อชั้น กระดูกห่างกันหลายเบอร์ ไปได้ แม้จะไม่มากนักจนเสียหน้า ด้วยคะแนนที่ห่างกันสามหมื่นเศษ  แต่คนอย่างบุญชู ที่สู้อุตส่าห์ตกเขียวมายาวนาน  มีทุนสะสมจากการเป็นอดีตรัฐมนตรี  และระบบหัวคะแนนที่พร้อมจะแปรเบี้ยให้เป็นเบอร์ 4 ได้ไม่ยากเย็น

ตลอดหลายปีที่บุญชู ตรีทอง ห่างหายไปจากการเมือง บริบททางสังคมคงเปลี่ยนไปพอสมควร สังคมเปลี่ยน คนมีการศึกษามากขึ้น  ทัศนคติแบบ “บุญคุณต้องตอบแทน แค้นต้องชำระ” อันเป็นตัวแปรสำคัญในชัยชนะของผู้สมัครในเขตภาคเหนือและอีสาน  อาจเริ่มใช้ไม่ได้ผลกับคนรุ่นใหม่ หรือคนที่เริ่มรู้เท่าทันนักการเมืองว่า ระบบอุปถัมป์มิใช่สิ่งที่จะนำความรุ่งเรืองไพบูลย์ มาสู่บ้านเมือง  ขณะเดียวกันหากมองในแง่การเมือง กล่าวได้ว่าอิทธิพลของบ้านสวนที่หยั่งรากลึกในลำปางมายาวนาน อาจมีส่วนช่วยให้ วราวุฒิ หน่อคำ  เดินสู่ปลายทางแห่งชัยชนะได้   แต่ดูเหมือนว่า บุญชู ตรีทอง จะไม่ยอมยกธงขาวง่ายดาย

มันเป็นความขมขื่น ที่แม้ในเขต ห้างฉัตร บ้านตัวเองแท้ๆยังถูกเจาะไข่แดงไปได้  เมื่อรวมคะแนนเสียงของวราวุฒิ หน่อคำ ในเขตลำปางใต้ อันประกอบด้วยอำเภอ แม่ทะ แม่เมาะ แม่พริก เถิน และเกาะคา ก็ดูจะส่งสัญญาณชัดเจนจากการถอนตัวของ ดร.เอ ลูกชายนักการเมืองรุ่นลายคราม พินิจ จันทรสุรินทร์ เจ้าของพื้นที่นี้ ว่า เปิดหัวใจเทให้ วราวุฒิ  บางทีการอยู่ในการเมืองมายาวนาน  ก็อาจไม่ใช่ความได้เปรียบเสมอไป เพราะถ้าพลาดไปเพียงครั้งเดียว คนจะจดจำนาน  โดยเฉพาะในประเด็นจุดยืนหรืออุดมการณ์ทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวอย่างยิ่ง

แม้ในเขตพื้นที่ลำปาง สีแดงจะไม่เข้มข้นเท่าเชียงใหม่ แต่ต้องยอมรับว่า ฐานเสียงของคนที่นิยมชมชอบใส่เสื้อสีแดง เกลียดอำมาตย์ รักประชาธิปไตยนั้น มีมากกว่าประชาธิปัตย์ มากกว่าคนที่อยู่ตรงกลางๆ และแน่นอนมากกว่า กปปส

ฉะนั้น เมื่อปรากฏภาพ บุญชู ตรีทอง ห้อยคอด้วยนกหวีด โอบกอดคล้ายสนิทสนมกับกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เห็นฉากหลังเป็นเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บรรลัยก็เกิดทันที !

เขารู้ว่านั่นคือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง แต่คนเป็นนักการเมืองโดยสายเลือด ต้องตัดสินใจ และวิธีดีที่สุด คือการ “พูดความจริง” และหากเชื่อว่าภาพนี้จะส่งผลกระทบต่อคะแนนเสียงของตนเองอย่างมีนัยสำคัญ ก็ต้องพยายามหาคำอธิบายที่นุ่มนวล เช่น เป็นการไปพบปะพูดคุยกับ สุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะนักการเมืองรุ่นเดียวกัน โดยที่ไม่ได้เห็นด้วยหรือให้การสนับสนุน กปปส เพราะในความเป็นจริงนั้น ชื่อบุญชู ตรีทอง กับบทบาทของ กปปส.บางเบามาก

แต่ในช่วงแรกที่ภาพนี้ได้หลุดเข้าไปในโลกโซเชียลเนตเวิร์ค อิมเมจเมกเกอร์และคนที่ศรัทธาบุญชู เลือกที่จะปฏิเสธการมีอยู่ของภาพนี้โดยบอกว่านี่เป็นภาพตัดต่อเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ทั้งที่ภาพชัดเจนว่าบุญชู ปรากฏตัวอยู่ในสถานที่นั้นจริง ด้วยการแต่งกายแบบนั้นจริง นี่เป็นเรื่องที่ทางการเมือง ยอมรับไม่ได้

ความปราชัยของ บุญชู ตรีทองนั้น อาจมาจากหลายสาเหตุ หากมองในเชิงอุดมคติ ก็อาจกล่าวได้ว่าประชาชนคนลำปาง ต้องการนักการเมืองรุ่นใหม่ที่เขาฝากฝีฝากไข้ได้ เขาต้องการนักการเมืองคุณภาพมากกว่านักการเมืองรุ่นเก่าที่ต้องการเพียงอำนาจเท่านั้น หรือภาพสะท้อนการไม่มีจุดยืนจากกรณี กปปส

ไม่ว่าจะอย่างไร นาทีนี้บุญชู ตรีทอง ต้องท่องคำว่าแพ้ให้ได้แล้ว

ในสนามแข่งขันนั้น ต้องรู้แพ้ รู้ชนะ เมื่อชนะก็ไม่ลำพองใจ และถ้าแพ้ก็ยอมรับว่า ความพยายามในการหาเสียงยังไม่มากพอ และต้องการเวลาสะสมเพื่อที่จะกลับมาเอาชนะให้ได้สักวันหนึ่ง

คนแพ้ และยอมรับความพ่ายแพ้อย่างองอาจ คือนักการเมืองแท้ แต่หากขี้แพ้ ชวนตี มีแต่นักเลงเท่านั้น



(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 971 ประจำวันที่ 4 - 10 เมษายน 2557)   
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์