บ้านแหงเดินขบวนกดดัน
และปักหลักปิดถนนสายลำปาง-พะเยาเรียกหน่วยงานรับผิดชอบให้มา
เพิกถอนใบอนุญาตป่าไม้ฯ ให้นายทุนทำเหมืองถ่านหิน
ด้านนายอำเภองาวรุดเคลียร์จัดทำข้อตกลงร่วมกันส่งถึงผู้ว่าฯให้ทบทวนการออกประทานบัตร
และขอคำตอบใน 7 วัน ไม่เช่นนั้นจะกลับมาปิดถนนอีก
เมื่อวันที่ 28
เม.ย.57 เวลา 8:00 น. ชาวบ้านแหง
ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง และกลุ่มรักษ์บ้านแหง ประมาณ 300 คน เดินขบวนออกจากหมู่บ้าน มาตามเส้นทาง
จากสามแยกซุปเปอร์ไฮเวย์พะเยา-งาว ถึง ที่ว่าการอำเภองาว เรียกร้องให้ยกเลิกใบอนุญาตป่าไม้
เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางได้ออกใบอนุญาตให้ บริษัท เขียวเหลือง จำกัด
ใช้พื้นที่ป่าไม้-ป่าสงวนแห่งชาติแม่งาวฝั่งซ้าย
เพื่อทำเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์แอ่งงาว
แต่มีประชาชนในพื้นที่ได้แสดงออกถึงการคัดค้านไม่ยินยอมให้นายทุนนำป่าไปทำเหมือง
ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างบริษัทฯ หน่วยงานรับผิดชอบ และชาวบ้านแหงมานานถึง 5 ปี และการอนุญาตให้ใช้ป่าสงวนฯ
ในครั้งนี้ยังผิดระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออาศัยอยู่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. 2548 เนื่องจาก
การที่บริษัทจะยื่นคำขอและได้รับอนุญาตตามคำขอเพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินในการทำเหมืองแร่ถ่านหินตามคำขอที่
4-8/2553 ได้
กฎหมายกำหนดว่า “จะต้องเป็นพื้นที่ไม่มีความขัดแย้งกับราษฎร
และต้องได้รับความตกลงยินยอมจากราษฎรในพื้นที่ในการเข้าทำประโยชน์เสียก่อน”
เมื่อชาวบ้านแหงเดินทางมาถึงที่ว่าการอำเภองาว
ได้มีนายโกศล ชุมพลวงศ์ ปลัดอำเภออาวุโส เป็นผู้แทนเจรจากับชาวบ้าน เนื่องจากนายสมเกียรติ
ตันตระกูล นายอำเภอติดภารกิจเข้าไปประชุมจังหวัด
โดยชาวบ้านต้องการให้ให้อำเภอฯ ประสาน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง
ทรัพยากรธรรมธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) สำนักงานปฏิรูปที่ดิน (สปก.)
ให้มาดำเนินการยกเลิกใบอนุญาตใช้พื้นที่ป่าฯและมาเจรจากับชาวบ้านภายใน 1
ชั่วโมง เมื่อได้มีการส่งตัวแทนมาเจรจาพูดคุยกัน
ปรากฏว่าไม่สามารถตกลงกันได้ และสรุปว่า
ทางกรมป่าไม้ได้อนุญาตไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขคืนได้ ทำให้ชาวบ้านที่เข้าร่วมประชุม
ได้ลุกออกจากห้องประชุมทันที และพากันเดินทางไปปิดถนนลานลำปาง-พะเยาตามที่บอกไว้ทันที
จนกว่าจะได้ข้อตกลง
โดยชาวบ้านได้ยกเต็นท์ผ้าใบกว่า
7 หลัง และเคลื่อนรถยนต์กว่า 10 คัน มาปิดบนถนนสายลำปาง-พะเยา
ส่งผลทำให้รถที่วิ่งมาถึงติดขัดยาวอย่างมาก นอกจากนี้ บริเวณจุดปิดถนน
ซึ่งอยู่บริเวณถนนด้านหน้าที่ว่าการอำเภองาว จ.ลำปาง เขตบ้านหนองเหียง ม.2 ต.นาแก
อ.งาว จ.ลำปาง ชาวบ้านผู้ชุมนุม ยังมีการนำยางรถยนต์กว่า 10 เส้น
มาวางปิดทับเส้นทาง ก่อนที่จะจุดไฟเผา
สร้างกลุ่มควันไฟสีดำโพยพุ่งอยู่บนถนนสายดังกล่าว โดยทางกลุ่มชาวบ้านแหงได้ประกาศว่า
จะชุมนุมปิดถนนออกไปอย่างไม่มีกำหนด
โดยจะปิดถนนไปจนกว่าทางกรมป่าไม้จะยกเลิกใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่า
เพื่อเปิดบ่อเหมืองลิกไนต์ในพื้นที่ ต.บ้านแหง อ.งาว จ.ลำปาง พร้อมกับออกแถลงการณ์กลุ่มรักษ์บ้านแหง
ต้อง “ยกเลิกใบอนุญาตป่าไม้” เพื่อขอทำเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์แอ่งงาว ของบริษัท เขียวเหลือง จำกัด เนื่องจากการทำเหมืองดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายหลายประการ
เช่น รายงานการไต่สวนพื้นที่ประกอบคำขอประทานบัตร แปลงที่ 4-8/2553 เป็นเท็จ
โดยการไต่สวนฯ พื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่
ระบุว่าไม่พบถนนหนทางและทางน้ำสาธารณะ (ห้วย หนอง คลอง ลำธาร ฯลฯ) ซึ่งสวนทางกับข้อเท็จจริง
เพราะมีถนนหนทางและทางน้ำสาธารณะหลายเส้นทางที่ประชาชนใช้สอยประโยชน์ร่วมกันเพื่อการสัญจรไปมาและทำการเกษตร
, บริษัทจดทะเบียนเพื่อประกอบกิจการป่าไม้ การทำไม้ ปลูกสวนป่า
เพื่อหลอกซื้อที่ดินชาวบ้าน แต่พอซื้อได้แล้ว กลับนำที่ดินมาขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ภายหลัง
, ประชาคมเท็จ หลอกลวง สวมรอย
เพื่อช่วยเหลือให้บริษัทดำเนินการขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ถ่านหินต่อไปให้ได้
โดยไม่ฟังเสียงประชาชนด้วยการบิดเบือนความเห็นที่ได้จากการประชุม โดยในการประชุมชี้แจงข้อมูลของบริษัท
เมื่อวันที่ 24 ก.ย.53 ที่ศาลาเอนกประสงค์โรงเรียนบ้านแหงเหนือ โดยมีปลัด
อบต.บ้านแหง เป็นผู้บันทึกการประชุม
และผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 และหมู่ 7 เป็นผู้รับรองรายงานการประชุม
ข้อเท็จจริงที่บันทึกได้ในแผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียง พบว่าขัดแย้งกับรายงานการประชุม
โดยรายงานการประชุมบันทึกไว้ตอนหนึ่งว่า “ใครเห็นด้วยให้บริษัทขอประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ถ่านหิน
ให้ยกมือขึ้น” แต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากแผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงที่บันทึกไว้ได้ในช่วงเวลาเดียวกันระบุว่า
“ใครเข้าใจในเรื่องที่อธิบายเกี่ยวกับการชี้แจงการขอประทานบัตรเพื่อทำเหมืองแร่ถ่านหิน
ให้ยกมือขึ้น” , มติของสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแหง
เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 53 มิชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านแหงมีมติเห็นชอบการขอประทานบัตรและการประกอบกิจการเหมืองแร่ถ่านหินของบริษัท
โดยนำรายงานการประชุมชี้แจงข้อมูลของบริษัทเมื่อวันที่ 24 ก.ย.53 ที่บ้านแหงเหนือ
มาใช้เป็นหลักฐานพิจารณาลงมติของสภา ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
และไม่เป็นไปตามหลักการของการมีส่วนร่วมของประชาชน และขอประทานบัตรทับที่ดิน ส.ป.ก. ของชาวบ้าน
500 กว่าไร่
กลุ่มชาวบ้านแหงจึงต้องการให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง
โดยเฉพาะผู้ว่าราชการจังหวัดลำปางได้ออกใบอนุญาตให้ใช้พื้นที่ป่าไม้-ป่าสงวนฯ
เพื่อทำเหมืองแร่ถ่านหินแก่ บริษัท เขียวเหลือง จำกัด แล้ว
เพื่อจะเร่งรีบออกประทานบัตรให้แก่บริษัทฯ โดยราษฎรบ้านแหงเหนือ หมู่ที่ 1 และ 7
ติดอยู่ในพื้นที่คำขอประทานบัตรประมาณ 100 กว่าไร่
ยังไม่ยินยอมหรือขายให้บริษัทดังกล่าวเอาไปใช้ประโยชน์เพื่อการทำเหมืองแร่ถ่านหิน
และตามระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออาศัยอยู่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ. 2548
การที่บริษัทดังกล่าวจะยื่นคำขอและได้รับอนุญาตตามคำขอเพื่อใช้ประโยชน์ที่ดินในการทำเหมืองแร่ถ่านหินตามคำขอที่
4-8/2553 ได้
จะต้องเป็นพื้นที่ไม่มีความขัดแย้งกับราษฎร และต้องได้รับความตกลงยินยอมจากราษฎรในพื้นที่ในการเข้าทำประโยชน์เสียก่อน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
บริษัทดังกล่าวและหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้รับและออกใบอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออาศัยอยู่ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยยังมีความขัดแย้งกับราษฎรในพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้ง
5 แปลง อยู่ในขณะนี้ นอกจากนั้น คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโครงการเหมืองแร่
(คชก.) ได้มีมติให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่ถ่านหินของบริษัท เขียวเหลือง
จำกัด และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.)
ได้มีหนังสือแจ้งมติความเห็นชอบไปยังบริษัท เขียวเหลือง จำกัด เมื่อวันที่ 15 พ.ย.56
ที่ผ่านมา ทั้งๆที่ราษฎรบ้านแหงเหนือที่อาศัยอยู่รอบบริเวณพื้นที่คำขอประทานบัตรทั้ง
5 แปลง
ไม่ได้มีส่วนร่วมและรับรู้ข้อมูลข่าวสารในการจัดทำรายงานอีไอเอเลยตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ
เป็นอย่างยิ่ง
ต่อมา
นายสมเกียรติ ตันตระกูล นายอำเภองาว ได้เข้าร่วมประชุมพร้อมตัวแทนจากกลุ่มรักษ์บ้านแหง
จำนวน 6 คน เพื่อเจรจาหารือจนในที่สุดได้ตกลงร่วมกัน โดยทำร่างหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง
ให้ทบทวนตรวจสอบขั้นตอนการออกใบประทานบัตร ให้แก่บริษัทเขียวเหลืองใหม่
โดยหลังมีข้อสรุปในระดับหนึ่ง กลุ่มชาวบ้านจึงยอมเปิดถนนให้รถสัญจรผ่านได้ตามปกติ
พร้อมกำชับว่าหนังสื่อที่ร่างถึงผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง
ต้องได้ข้อสรุปที่เป็นรูปธรรม ใน 7 วันทำการ มิฉะนั้นชาวบ้านจะกลับมาปิดถนนอีกครั้งต่อไป
จากนั้นกลุ่มชาวบ้านจึงได้แยกย้ายกันกลับหลังจากที่ปักหลักปิดถนนมายาวนานถึง 6 ชั่วโมง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 976 ประจำวันที่ 2 - 8 พฤษภาคม 2557)