สองรองนายกเทศมนตรี
ยันไม่ลาออกจากตำแหน่ง รอผลตัดสินคดีนายกฯสิ้นเดือน
ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร มั่นใจงานไม่สะดุด เนื่องจากเตรียมแผนงานและแผนงบประมาณปี 58
ไว้เรียบร้อยแล้ว เผยผลงานรอบ 1 ปี 4
เดือนทำงานเต็มที่ พนักงานลูกจ้างมีความสุข
หลังจากเมื่อช่วงเดือน มี.ค. 57
ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ภาค 5 เชียงใหม่ ได้รับฟ้องคดีของ
กกต.ที่มีมติให้ใบแดงนายกิตติภูมิ นามวงค์ นายกเทศมนตรีนครลำปาง กรณีเกี่ยวกับการหาเสียงด้วยนโยบายเกินจริง
หลอกลวง ชักจูงใจให้ประชาชนเลือก ที่บอกว่า
เด็กนักเรียนต้องได้รับทุนส่งเสริมการเรียนจากงบประมาณเทศบาลนครลำปางทุกคนๆละ 1,000 บาทต่อปี ซึ่งนายกิตติภูมิ
ได้หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอผลการพิจารณาคดีของศาล โดยมีนายชัยศรี สัชฌะไชย
รองนายกเทศมนตรี รักษาการนายกเทศมนตรีแทน
โดยเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายกิตติภูมิได้เดินทางไปขึ้นศาลเพื่อสอบพยานปากสุดท้าย และจะมีการตัดสินคดีในวันที่ 30 ก.ค.57 นี้
ซึ่งที่ผ่านมาเทศบาลนครลำปางยังคงมีผลการทำงานออกมาอย่างต่อเนื่อง
และมีหลายโครงการได้ดำเนินตามนโยบายของนายกเทศมนตรี โดยนายชัยศรี สัชฌะไชย และนพ.สุรทัศน์ พงษ์นิกร รองนายกเทศมนตรี
ได้ร่วมกันผลการดำเนินงานต่างๆ ในระยะเวลาที่ได้ดำรงตำแหน่ง 1 ปี 4 เดือน ที่ผ่านมา พร้อมยืนยันว่าไม่ลาออกก่อนอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าจะนางนพวรรณ ธนะสุวัตถิ์ ลาออกจากตำแหน่งไปก่อนหน้านี้แล้ว
โดยให้เหตุผลว่าต้องช่วยดูแลธุรกิจครอบครัว
นายชัยศรี สัชฌะไชย รองนายกเทศมนตรี
เปิดเผยว่า หลังจากที่นายกเทศมนตรีต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไป
ทางฝ่ายบริหารยังคงทำงานอย่างต่อเนื่องตามนโยบายและโครงการต่างๆที่ได้กำหนดไว้
ซึ่งล้วนเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนในเขตเทศบาล เช่น
การจัดตั้งกองทุนเราช่วยกัน บริการรถรับ-ส่งศพ บริจาคโลงศพฟรี ตั้งแต่เปิดให้บริการมาได้มีผู้มาขอรับบริจาคโลงศพแล้ว
30 กว่าโลง ซึ่งกองทุนนี้ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใจบุยอย่างแท้จริง
เริ่มแรกได้มีการบริจาคเงินเข้ามามียอดรวมถึง 6 แสนบาท
และได้รับบริจาครถตู้อีก 1 คันราคา 1.2
ล้านบาท และจะดำเนินโครงการต่อไปซึ่งในอนาคตอาจจะมีการจัดตั้งเป็นมูลนิธิก็เป็นได้
นอกจากนั้นยังได้จัดโครงการใกล้ใจอุ่นไอรักขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุ
ผู้พิการ คนยากจน พบว่ามีมากถึง 241 ราย
จึงได้จัดเยี่ยมและถุงยังชีพให้การช่วยเหลือ
พร้อมขอความร่วมมือบ้านพักเด็กและครอบครัวเพื่อขอรับเบี้ยยังชีพ
โดยได้รับการสนับสนุน 15 รายๆละ 2,000
บาท ซึ่งเทศบาลยังคงหาแนวทางขอรับช่วยเหลือผู้ป่วยรายอื่นๆอยู่อย่างต่อเนื่อง
ด้าน นพ.สุรทัศน์ พงษ์นิกร กล่าวว่า สำหรับการจัดตั้งโรงพยาบาลสาขาได้ดำเนินการไปแล้ว
3 แห่ง ซึ่งปัจจุบันได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง หรือ ศสม.
ตั้งที่เทศบาลนครลำปาง 1 แห่ง ศูนย์บริการสาธารณสุข 2 โรงเรียนปงสนุก 1 แห่ง
และที่วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ต.หัวเวียง 1 แห่ง ขณะนี้กำลังผลักดันให้มีแห่งที่ 4 ที่ศูนย์บริการสาธารณสุข 3 สุขสวัสดิ์ ต.พระบาท
เพื่อให้ครบตามเป้าหมาย
ลดความแอดอัดในโรงพยาบาลและให้ผู้ป่วยได้รับบริการที่สะดวกรวดเร็วขึ้น และยังมีโครงการตรวจหามะเร็งเต้านมให้กับสตรีในเขตเทศบาล
ซึ่งจากผลการดำเนินการพบว่ามีการลดปริมาณผู้ป่วยมะเร็งเต้านมระยะรุนแรงได้มากขึ้น
การคัดครองแล้วพบผู้ป่วย 1
คนก็ถือว่าคุ้มกับการทำงานเพราะจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตลงได้หากได้รับการรักษาที่ทันเวลา
นพ.สุรทัศน์ กล่าวอีกว่า ในส่วนสำนักการช่าง มีโครงการจำนวนมากที่ทำมาเป็นเรื่องถนนหนทางต่างๆ ปี 56 มีถึง 46 โครงการ และปี 57 ทำอีก 27
โครงการ งบประมาณรวม 100 ล้าน ยกตัวอย่างเช่น ปรับปรุงผิวจราจรถนนรอบเวียง บริเวณถนนท่ามะโอไปถึงสามแยกทางไปหลวงพ่อเกษม
งบประมาณ 5 ล้านบาท
เพื่อไว้รับเสด็จเชื้อพระวงศ์ที่จะเสด็จมาร่วมพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อวัดท่ามะโอ ถนนเส้นนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ และยังมีโครงการพัฒนาฟื้นฟูแม่น้ำวัง
ที่ได้รับแรงกระตุ้นจากสื่อมวลชน จนเกิดความร่วมมือในการแก้ปัญหานี้ขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับความภาคภูมิใจคือเทศบาลได้รับการยกย่องจากองค์การธนาคารโลกให้เป็นเมืองตัวอย่างที่มีก๊าซคาร์บอนต่ำ
และเร็วๆนี้จะได้รับการเปลี่ยนหลอดไฟจาก กฟภ.เป็นหลอด LED ในถนน
6 สายหลัก กว่า 800 หลอดอีกด้วย
สำหรับโครงการสำคัญ
คือ ทางเทศบาลชุดนี้มีความเห็นร่วมกับจังหวัดในการปรับปรุงศาลหลักเมือง
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นบรรพบุรุษของลำปาง
ซึ่งในเขตเทศบาลมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ควรสักการะอยู่มาก
แต่ยังขาดการดูแลอยู่หลายจุด ทางรองฯชัยศรีได้นำคณะไปศึกษาดูงานที่
จ.อุดรธานี และ จ.ขอนแก่น เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน ขณะนี้ก็ได้รับงบประมาณจากกองทุนโรงไฟฟ้า 15
ล้านบาท ปรับภูมิทัศน์ด้านหน้าศาลากลางเก่าแล้ว และได้มีการออกแบบการพื้นที่ศาลหลักเมืองใหม่
โดยการขับเคลื่อนต่อไปข้างหน้าต้องขอความร่วมมือจากประชาชนชาวลำปางด้วย และสุดท้ายที่เห็นเป็นความสำเร็จ คือ คนในเทศบาลมีความสุข
ไม่มีความทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการร้องเรียนเป็นคดีแม้แต่เรื่องเดียว
เมื่อสอบถามว่าคิดที่จะลาออกหรือไม่
นายชัยศรี กล่าวว่า คงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะยังคงต้องทำงานอยู่ หากตนออกไปสักคนงานคงไม่สามารถเดินหน้าไปได้
ถึงอย่างไรก็จะทำหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะทราบผลการตัดสินคดีของนายกิตติภูมิในวันที่ 30
ก.ค.นี้ เช่นเดียวกับ นพ.สุรทัศน์ที่กล่าวว่า
ไม่คิดจะลาออก ซึ่งการที่จะได้ทำงานต่อไปหรือไม่อยู่ที่ฟ้ากำหนด
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามต่อไปว่า
หากผลการตัดสินของนายกเทศมนตรีออกมาในทางลบ จะมีปัญหาต่อการบริหารงานหรือไม่
นายชัยศรี กล่าวว่า ในตอนนี้ทางเทศบาลไม่มีปลัดเทศบาล มีเพียงรองปลัดฯรักษาการอยู่
ก็เกรงว่ารองปลัดฯจะต้องทำงานหนักมากขึ้นอีกเยอะ
ในส่วนของโครงการหรืองบประมาณต่างๆนั้น คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพราะได้มีการร่างงบประมาณปี
58 ไว้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว และมั่นใจว่าเป็นงบประมาณที่สมบูรณ์แบบที่สุด เหลือเพียงการนำเข้าสภาเทศบาลให้ทาง
สท.พิจารณาเท่านั้น
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 988 ประจำวันที่ 25 - 31 กรกฎาคม 2557)