เพราะชีวิตวัยเรียนยุคใหม่ วุ่นวายสับสน แข่งกันเรียน
แย่งกันเล่น จนต้องคิดอ่านหาวิธีทุ่นแรง ทุ่นสมอง ทุ่นค่าใช้จ่าย ด้วยการคัดลอก
ตัด แปะ ความเก่งของคนรุ่นนี้ วัดกันด้วยปริมาณ และความปราดเปรื่องในการหาทางลัด
มิใช่คุณภาพ เริ่มเรียน ก.ไก่ กันตั้งแต่ลอกการบ้านชั้นประถม
จนถึงจ้างทำวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ปริญญาเอก
ปรากฏการณ์ลอกการบ้านไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่ความ
(มัก)ง่ายในการลอกการบ้านเริ่มพัฒนาตามโลกเทคโนโลยี
ที่สื่อโซเชียลมีเดียนำมาใช้ในการอำนวยความสะดวกในการสะสางงาน (การบ้าน) ที่กองสุมเป็นภูเขาเลากา
แน่นอนว่าทุกวันนี้แต่ละครอบครัวจะได้ยินลูกๆหลานบ่น
โดยเฉพาะเด็กนักเรียน ม.ปลาย เพราะหลายวิชางอกขึ้นมา
อีกทั้งความเข้มข้นของเนื้อหาก็สูงขึ้นยากขึ้นตามลำดับ
ครูผู้สอนแต่ละรายวิชาก็พร้อมใจกันสั่งการบ้านกันทั้งนั้น บางรายให้เอกสารหนาหลายหน้าสั่งให้ส่งพรุ่งนี้
อีกวิชาก็ให้อ่านเนื้อเรื่อง 30 หน้า
แล้วสรุปใจความสำคัญแต่ละย่อหน้าสั่งให้ส่งพรุ่งนี้
บางข้อก็ยกโจทย์ระดับมหาวิทยาลัยมาให้ทำโดยตอนที่สอนกลับสอนการคิดเพียงแค่พื้นฐาน
ตัวอย่างการพลิกแพลงโจทย์ไม่เคยสอน คาดหวังว่านักเรียนต้องไปศึกษาเอง ?!?
พอการบ้านแต่ละวิชามะรุมมะตุ้ม
เทกระจาดกันมา นักเรียนก็ใช้วิธีตั้งไลน์กลุ่ม เฟสบุ๊คกลุ่ม
ตั้งเป็นกลุ่มปิดแล้วแท็คทีมกันทำการบ้าน มีหน่วยวิชาเลข กองกำลังฟิสิกส์
ฝ่ายภาษาศาสตร์ ช่วยกันทำการบ้าน ใครทำเสร็จก่อนก็ถ่ายรูป ส่งให้ดูกันเป็นหน้าๆไป
นักเรียนคนไหนที่ยังพอรู้รับผิดชอบ
ก็อาจจะดูเป็นแนวทาง แล้วทำความเข้าใจก่อนลงมือทำ แต่หลายคนก็มัวแต่ลั้นลาเล่นเกม
พอถึงเวลาไม่ทันคิดจึงทำได้เพียงแค่ลอกก่อนส่งงาน ส่วนรายงานไม่ว่าจะเป็นการกลุ่มงานเดี่ยวตอนนี้คุณครูก็แทบจะได้เขียนด้วยลายมือส่ง
เหตุเพราะก่อนหน้านี้เจอปัญหานักเรียนเข้าไปสอบถาม “คุณครูกูเกิล”
แล้วใช้คำสั่ง CtrlC + Ctrl V (ก๊อปปี้ข้อความ
และวางลงในโปรแกรม word) จากนั้นก็ปริ้น เข้าเล่ม
ส่งรายงานให้คุณครูตัวจริง โดยแทบจะไม่ได้อ่านเนื้อหาก่อนส่ง
ที่แย่กว่านั้น
หากนำไปปริ้นที่ร้านถ่ายเอกสาร ร้านนั้นก็จะคัดลอกไฟล์ไว้
แล้วนำไปขายต่อให้นักเรียนในปีหน้า เพราะรู้ว่าครูจะต้องสั่งเรื่องเดิม
โธ่ถัง...กะละมังตกหม้อ แล้วนักเรียนจะได้องค์ความรู้มาจากไหนกัน
การบ้านจึงกลายเป็นเรื่องของทีมเวิร์ค
ที่อาจต้องระดมคนในบ้านมาช่วยกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว (หรือนี่จะเป็นเหตุผลที่ครูต้องการทางอ้อมกันแน่
!!)
แต่หากคนในครอบครัวหมดแรงหรือการบ้านสมัยนี้ล้ำลึกเกินกว่าสมัยพ่อแม่จะเข้าใจได้
ดังนั้น พระเอกขี่ม้าขาวจึงเป็น “พวกรับจ้างทำการบ้าน”
ที่รับหมดไม่ว่าจะเป็นโครงงานวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์
แต่งกลอนภาษาไทย แปลข่าวภาษาอังกฤษ ทำรายงาน เขียนเว็บไซด์ ฯลฯ
โดยราคาค่างวดก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหา ความยากง่าย และความเร่งรีบในการใช้งาน
โดยสนนราคาบวกกับจำนวนความต้องการในยุคสมัยนี้ก็ถือว่าสามารถสร้างรายได้ได้ไม่น้อย
อย่างรับทำเว็บไซด์เพื่ออัพขึ้นอินเตอร์เนตอย่างต่ำก็เว็บละ 1,000 บาท เข้าไปแล้ว หากจ้างเขียนรายงานด้วยลายมือสนนราคาก็หน้าละ 20-30
บาท ลองคำนวณดูว่ารายงานเล่มหนึ่งจะสนนราคากี่บาท
ผู้ใหญ่หลายคนจะคิดว่า
การบ้านนักเรียนก็ควรจะทยอยทำ ไม่ใช่นำมากองๆไว้ พอถึงวันใกล้จะส่งแล้วค่อยทำ
แบบดินพอกหางหมู แต่ผู้ใหญ่ควรจะรู้ความจริงของชีวิตของเด็กสมัยนี้บ้างว่า
การบ้านมาแทบจะทุกวิชาที่เรียนในวันนั้น
แต่หากมองในแง่ดีนักเรียนก็จะได้ฝึกเรื่องการแบ่งเวลาให้เหมาะสมเพื่อบริหารเวลาที่มีน้อยให้เพียงพอ
เพราะนอกจากเรียนแล้วยังต้องเรียนพิเศษเพิ่มเติม(เพราะเกือบทุกคนบอกว่าครูที่โรงเรียนสอนไม่รู้เรื่อง)
หากพฤติกรรมการลอกการบ้าน
ก๊อปปี้รายงาน จ้างทำโครงงานสมัยเรียนมัธยมติดตัวไปจนถึงเรียนระดับมหาวิทยาลัยแล้ว
คงไม่แคล้วที่จะจ้างทำวิทยานิพนธ์เป็นแน่
เพราะตลอดชีวิตการเรียนแทบจะจ้างทำงานมาตลอด อีกทั้งการทำวิทยานิพนธ์ทั้งในระดับปริญญาตรี
โท เอก ต่างก็มี รายละเอียด ทฤษฎีที่ต้องอ้างอิงมากมาย ดังนั้น
หากไม่สะสมกระบวนการคิดวิเคราะห์มาตั้งแต่แรก
คงจะเป็นเรื่องยากถ้าต้องทำวิทยานิพนธ์สักเล่มหนึ่ง
ดังนั้นการรับจ้างทำวิทยานิพนธ์
จึงมีมานานแล้ว แต่สมัยก่อนการตรวจสอบเนื้อหาว่าคัดลอกมาหรือไม่นั้นไม่ใช่เรื่อง่าย
เพราะระบบฐานข้อมูลสำหรับสืบค้นยังไม่ทันสมัยเท่าปัจจุบัน
สนนราคาวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาตรีที่รับจ้างทำก็อยู่ราวๆ 15,000-20,000
บาท ระดับที่สูงขึ้นก็ค่าตัวก็เพิ่มขึ้นตามกำลังศรัทธา
รูปแบบของการรับจ้างทำวิทยานิพนธ์สมัยก่อนก็จะคัดลอกข้อมูลของคนอื่นแล้วมาใส่ในเล่มรายงาน
แต่ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้พัฒนา
"โปรแกรมอักขราวิสุทธิ์" มาใช้ในการตรวจสอบการลอกเลียนงานวรรณกรรม
ซึ่งในทางวิชาการถือว่าเป็นการกระทำผิดทางจรรยาบรรณเป็นอย่างมาก
การคิดค้นนี้เป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น
หากยังไม่หาทางแก้ปัญหาที่ต้นทาง ลอกการบ้าน จ้างทำรายงาน
ก็ยังวนเวียนอยู่เพื่อให้ได้เกรดที่สวยงามมาประดับบารมียามเรียนแต่ไร้คุณภาพยามต้องทำงานในชีวิตจริง.....
ปัญหาต้นทางที่ว่านั้น
ก็คือจิตสำนึก ความละอายต่อชื่อเสียง ความสำเร็จจอมปลอม
ที่ไม่ได้มาจากมันสมองของตัวเอง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 986 ประจำวันที่ 11 - 17 กรกฎาคม 2557)