วันอาทิตย์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

หนึ่งเดือน คสช. น้ำผึ้งยังหวาน



น่าแปลกอย่างยิ่งที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส ประกาศชัดเจนว่า เขาไม่ต้องการรัฐประหาร ในขณะที่จตุพร พรหมพันธ์ และณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ผู้นำ นปช.ดุดันยิ่งกับการที่กองทัพจะเข้ามายึดอำนาจรัฐบาลที่เขาเรียกว่า เป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน หากกองทัพไสช้างเข้ามา คนเสื้อแดงทั้งแผ่นดินจะเคลื่อนขบวนเข้าบดขยี้ทันที แต่แล้ว เมื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา เรียกกลุ่มคน 7 กลุ่ม เข้าประชุม และต่างฝ่ายต่างยืนยันแนวทางของตนเองแบบหัวชนฝา เขาตัดสินใจขออำนาจการปกครอง ทุกฝ่ายเงียบกริบ 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก้าวเข้ามาหลังจากที่เขาสรุปบทเรียนความล้มเหลวในการยึดอำนาจของพล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน เขารู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ อำนาจเบ็ดเสร็จเท่านั้นจะเสกเป่าให้ความวุ่นวาย สับสนก่อนหน้านี้ สลายไปในพริบตา ผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งเดือน การทำงานของ คสช.ต้องเรียกว่าเข้าตากรรมการ รอบคอบ รัดกุม ดุดัน และผ่อนคลายยามที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาสนทนาขนาดยาวผ่าน คสช.พูล ด้วยสไตล์ทหารตรงๆซื่อๆ และจริงจัง
         
หนึ่งเดือนน้ำผึ้งยังหวาน ความสงบราบเรียบของบ้านเมือง แม้จะมีบางเรื่องให้จุกจิกกวนหัวใจบ้าง แต่ก็ทำให้คนไทยมองเห็นว่า พวกเขาทำให้บ้านเมืองมีโอกาสหายใจอีกครั้ง และไม่เกี่ยงงอนถ้าทหารยังคงกุมอำนาจต่อไป ในขณะที่ คสช.ก็พยายามควบคุมช่องทางสารไม่ให้ความศรัทธา คสช.สั่นคลอน พร้อมๆกับการสกัดกั้นฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้มีพื้นที่ในสื่อ และวิธีการ ก็คือ ต้องปลอบโยน ต้องใส่ใจ เพื่อเอาพวกไว้ 

ไม่น้อยกว่า 3 ครั้ง ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่ตัวแทน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พบสื่อมวลชน เพื่อปรับพื้นฐานความเข้าใจเรื่อง “เสรีภาพ”ครั้งสุดท้ายเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน  พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก นั่งหัวโต๊ะ  ผู้บริหารสื่อ 46 สำนัก ทั้งสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ ร่วมวงสนทนา ณ สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต บทสรุป เป็นไปเช่นที่ พ.อ.หญิงศิริจันทร์  งาทอง รองโฆษกกองทัพบก และทีมโฆษก คสช.สรุป นั่นคือ คสช.เข้าใจทุกเรื่องราว และไม่เคยคิดแทรกแซงการทำงานของสื่อ

“..คสช.ไม่ขอให้สื่อมายืนเคียงข้าง แต่ขอให้สื่อได้ยืนเคียงข้างประเทศไทยและคนไทย คสช.เคารพหลักการทำงานของสื่อ ที่คงไว้ซึ่งจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ ขอให้สื่อทำหน้าที่อย่างสบายใจในการคัดกรองข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ อีกทั้งขอให้ร่วมกันนำเสนอข้อเท็จจริงของสถานการณ์ในประเทศ ต่อสายตาชาวโลกด้วย”

คำยืนยันนี้มีขึ้น ภายหลังที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รองหัวหน้า คสช.มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน 5 ชุด ขึ้นมามอนิเตอร์ข่าว เขาอธิบายว่า อนุกรรมการที่ตั้งขึ้นมาทำงาน เป็นการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐที่มีหน้าที่ เพื่อให้เกิดความกระชับมากขึ้น ซึ่งไม่ต้องห่วงในเรื่องของสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ขอให้สื่อมวลชนสบายใจได้  คำว่าสบายใจได้กลายเป็นประโยคทองที่ คสช.พูดกับสื่อ ถึงแม้ว่า  การรายงานข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้าน คสช.เช่น นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ  ซึ่งเป็นข่าวที่ไม่ได้ช่วยให้เครดิตของนายจารุพงศ์ดีขึ้น แต่ถึงกระนั้น คสช.ก็ถือเป็นเรื่องใหญ่ คล้ายกับว่า หากสื่อกระแสหลักไม่เสนอข่าวนี้ นายจารุพงศ์ จะไม่มีพื้นที่ที่เขาจะส่งสารถึงประชาชน

นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ จะกลายเป็นผีดิบคืนชีพขึ้นมา เพียงเพราะสื่อรายงานข่าวความพยายามของเขาที่จะก่อตั้งองค์กรนอกกฎหมายมาสู้กับ คสช. นั่นเป็นเรื่องที่ไกลเหตุผลยิ่ง การรับรู้เรื่องราวของนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รวมถึงนายจักรภพ เพ็ญแข  ถึงแม้สื่อกระแสหลักไม่ได้รายงานข่าวคนสองคนนี้ สักถ้อยคำเดียว เขาก็สามารถส่งผ่านสารไปยังผู้คนจำนวนมาก  ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารผ่านสื่อต่างชาติ หรือสื่อสังคมออนไลน์ และน้ำหนักของข่าว ก็จะมีมากกว่าข่าวในประเทศที่เสนออย่างกล้าๆกลัวๆ เพราะยิ่งปิดกั้น ก็เท่ากับไปเพิ่มคุณค่าข่าวนั้น  และกระตุ้นความสนใจข่าวโดยไม่จำเป็น

ในยามที่บ้านเมืองอยู่ในอำนาจการปกครองแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ว่ายุคสมัยไหน ประชาชนย่อมแซ่ซ้องถึงการจัดการปัญหาต่างๆที่การเมืองปกติไม่สามารถแก้ได้  เช่นเดียวกัน การแก้ปัญหาตัดไม้ทำลายป่า การปิดสื่อที่เคยมีอิทธิฤทธิ์ในยุคการเมืองมีสี  จนกระทั่งเรื่องเล็ก เรื่องน้อย การจัดการคิวรถตู้ คิวมอเตอร์ไซค์ การแก้ปัญหาหวยเกินราคา  คสช.ก็จัดการได้อย่างเด็ดขาด คำอธิบายง่ายๆคือ เมื่ออำนาจรวมศูนย์ ไม่ต้องทำตามขั้นตอนปกติ ออกกฎหมาย สั่งการและดำเนินการได้ทันที โอกาสล้มเหลวก็ปิดตาย

ปัญหามีเพียง ถ้าผ่านห้วงเวลาที่ผู้มีอำนาจ สามารถใช้อำนาจโดยเบ็ดเสร็จ แล้วกลับคืนสู่ภาวะปกติแล้ว คสช.ยังจะกุมสภาพเช่นนี้ต่อไปได้หรือไม่

คำว่าสบายใจได้ ไม่ได้ก่อให้เกิดความสบายใจ เพราะวิธีการที่พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว เรียกว่าบูรณาการนั้น คือการตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจข่าว หรือคณะกรรมการที่จะให้คำอนุญาตในการออกหนังสือพิมพ์ เช่น หลังประกาศคณะปฎิวัติฉบับที่ 17 ประกาศคณะปฎิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42 หรือแม้กระทั่งในห้วงระยะเวลารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็มีความพยายามจะแก้ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ ให้อำนาจตำรวจกลับไปควบคุม และตั้งแท่นให้ใบอนุญาต ต่อใบอนุญาต เหมือนเช่น พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ที่ยกเลิกไปแล้ว

อำนาจของ คสช.วันนี้ ต้องเรียกว่าล้นฟ้า และสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับ คสช.ก็คือการจัดการบริหารอำนาจให้คงอยู่ในมือ แม้จะมีสภานิติบัญญัติ สภาปฎิรูป หรือรัฐบาลแล้วก็ตาม


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 985 ประจำวันที่ 4 - 10 กรกฎาคม 2557)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์