ข่าวประเภท
“วัวแปดขา หมามีเขา” หายไปจากพื้นที่สื่อนานปีแล้ว ด้วยโลกการสื่อสารที่พัฒนาไป
ผู้คนมีความรู้มากขึ้น และเริ่มปฎิเสธข่าวงมงาย ไร้สาระแบบนั้น แม้ว่าความหมายของการสื่อสารข่าวประเภทนี้
คือการขายตัวเลข เพื่อประกอบความเสี่ยงในการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล
โดยมักจะมีการตีพิมพ์ข่าวในฉบับวันที่ 1 และ 16 ของเดือน
แต่เสียงตอบรับก็น้อยลง จนสื่อไม่ให้ความสำคัญในการตามล่าข่าวเพื่อนำมาขาย
“นักเสี่ยงโชค” อีก
จนกระทั่งข่าว
“หมาพูดได้” ปรากฏขึ้นที่ชัยภูมิ คำถามก็เกิดขึ้นว่า นี่คือการส่งสัญญาณความอึดอัดคับข้องใจในการเสนอข่าวสาระ
ภายใต้บรรยากาศเสรีภาพขาดวิ่นในยุค คสช.หรือไม่ หรือคุณภาพคนทำข่าวที่ถดถอยลง
หรืออำนาจทุนที่กำหนดให้สื่อคิดน้อยลงในเรื่องคุณภาพ
แต่คิดมากขึ้นในเรื่องที่ข่าวที่ขายได้
เหล่านี้ล้วนต้องการคำตอบ
ข้อสันนิษฐานของผม
คือ สภาพด้อยพัฒนาของคนทำสื่อ ที่ไม่ได้ศึกษา
ไม่ได้เรียนรู้ว่าโลกเขาก้าวไกลไปถึงไหน ยังคงหากินอยู่กับความฉาบฉวย ดูแคลนผู้รับสาร
ด้วยการยัดเยียดข่าวขยะ ที่น่าตกใจ คือไม่เพียงสื่อต่างจังหวัดบางฉบับ
ที่สำคัญผิดว่าข่าวลวงโลกเช่นนี้เป็นที่ต้องการของคนอ่าน แม้แต่สื่อกระแสหลักที่ควรเชื่อถือได้
ก็กระโจนลงไปในหล่มโคลนแห่งความเท็จนี้ด้วย นี่อาจจะเป็นภาวะเสื่อมของสื่อ
ที่วิ่งไล่หาเงินทอง เพื่อมาชดเชยต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ละเลยความรับผิดชอบ
ที่เป็นหัวใจสำคัญของการทำหน้าที่สื่อมวลชน
อีกเรื่องหนึ่ง
ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้ด้วยสีแดง คืออิทธิพลของสื่อสังคมออนไลน์
ที่มีเหนือสื่อกระแสหลัก
และโดยส่วนใหญ่จะส่งสารที่เป็นยาพิษมากกว่าน้ำผึ้ง
อย่างน้อยในห้วงระยะเวลา
3 – 4 ปีนี้อาจเป็นปีของสารตั้งต้นสำหรับสื่อออนไลน์
ที่กำลังก้าวกระโดดเข้าสู่ ความเป็นสื่อกระแสหลัก (Mainstream Media) อย่างรุนแรงและรวดเร็วยิ่ง เนื่องเพราะอิทธิพลที่มีอยู่เหนือสื่อทางการ
โดยเฉพาะการมีบทบาทนำในประเด็นต่างๆ
สื่อสังคมออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นทวิตเตอร์ หรือเฟซบุ๊ค ได้ทำหน้าที่อย่างแข็งขันในการส่งข่าว ความเห็น
ความเคลื่อนไหวต่างๆ อีกทั้งมีส่วนสำคัญในการประกอบสร้าง หลายเรื่องราวที่สื่อกระแสหลักกลับมีบทบาทเป็นเพียงผู้ตาม
พร้อมๆกับจำนวนผู้รับสารที่ทรงและลดลงอย่างต่อเนื่อง เล็กลงมาถึงระดับท้องถิ่น
ข่าวนักการเมืองคนสำคัญหายหน้าไปจากสังคมลำปาง ก็ถูกเฝ้ามอง
ติดตามจากเฟสบุ๊คคนดังคนนี้ ซึ่งเคยมีความเคลื่อนไหวมากในโลกออนไลน์
แต่จู่ๆก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
วันนี้
มีผู้ใช้ทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊คในประเทศไทยทะลุ 4
ล้านรายแล้ว ทั้งผู้ใช้ที่เป็นประชาชนทั่วไป เป็นนักการเมือง
กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มสังคมต่างๆ ตลอดจนผู้ใช้ที่อยู่ในอาชีพสื่อสารมวลชน มี “สื่อสังคมออนไลน์” เป็นอุปกรณ์เสริม
ภาพความเป็นสื่อหลักของสื่อสังคมออนไลน์
ชัดมากขึ้น ด้วยปรากฎการณ์ต่างๆ ที่ต่อเนื่องมาจากเรื่องราวของเจนี่
เทียนโพธิ์สุวรรณ เรื่องน้องแนน สาวพม่า เด็กเสิร์ฟร้านลาบที่เชียงใหม่
ที่ความสวยกลายเป็นประเด็นและคำถามในขณะเดียวกันว่า ความเป็นคนต่างด้าว
และอาชีพของเธอไม่อนุญาตให้สวยได้เหมือนสาวสวยคนอื่นๆหรือ
ไปจนถึงเรื่องของหนุ่มไต้ ชาวไทใหญ่จากพม่า ที่หล่อระดับนายแบบ
ปรากฎการณ์เหล่านี้
ไม่เพียงเป็นความแปลกใหม่ ตื่นเต้น เร้าใจของวงการสื่อสารมวลชนเท่านั้น หากยังมีคำถามในเชิงจริยธรรม ถึงความรับผิดชอบ
การตระหนักรู้ของผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ด้วย
สามปีก่อน
สมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ
นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ได้ร่วมกันยกร่างและรับฟังความคิดเห็น
เพื่อวางหลักปฏิบัติในการใช้สื่อสังคมออนไลน์ โดยที่ผมเป็นประธาน
นับเป็นแนวปฏิบัติการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของประเทศไทย
จุดบันดาลใจ
อาจเริ่มจากวิกฤตการณ์ความขัดแย้งของคนไทย คนในสังคมเมืองจำนวนมาก
โดยเฉพาะสื่อสารมวลชนอาชีพจำนวนไม่น้อย ที่ได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการส่งสารไปยังผู้บริโภค
รวมทั้งการใช้พื้นที่ในสื่อสังคมออนไลน์ ส่งออกข่าวสาร ข้อมูล
ที่ไม่เป็นสาระประโยชน์ใดๆกับสังคม
กระบวนการในการส่งสารผ่านสื่อสังคมออนไลน์นั้นผิดแผกจากการส่งข่าวตามปกติ
ซึ่งจะต้องผ่านการกลั่นกรองจากกองบรรณาธิการ ผ่านการประเมินคุณค่าข่าวก่อนที่จะตีพิมพ์
หรือแพร่ภาพและเสียงออกอากาศ
ช่องทางสื่อสังคมออนไลน์
เป็นช่องทางที่ผู้สื่อข่าวสามารถส่งสารได้โดยตรง ซึ่งอาจมีข้อผิดพลาด
หรือทำให้เกิดภาวะสับสน ประเด็นคำถามมีทั้งการใช้ประโยชน์ระดับองค์กร ตัวบุคคล
ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถแยกแยะได้ชัดเจน อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายได้
โลกการสื่อสารหมุนเวียนเปลี่ยนไปรวดเร็ว
วันนี้ใครๆก็สามารถเป็นนักข่าวได้
จริยธรรมของคนใช้สื่อดิจิตอล จึงเป็นจริยธรรมที่มิได้ฟูฟ่อง
ล่องลอยอยู่ในอากาศ แต่เป็นจริยธรรมที่ต้องปฏิบัติ เคร่งครัด
และยึดมั่นในมาตรฐานเดียวกับจริยธรรมคนสื่อยุคอนาล็อก
และใครก็ตามที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อส่งผ่านขยะ หรือเรื่องราวที่ไม่เป็นจริง
เขาเป็นแค่คนส่งสาร ไม่ได้เป็นนักข่าวหรือสื่อมวลชน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 993 ประจำวันที่ 29 สิงหาคม - 4 กันยายน 2557)