อุ้มบุญ คำที่ฟังแล้วไพเราะรื่นหู
หากแต่ข้างหลังภาพนั้น คือโศกนาฎกรรมของชีวิต ความคับแค้น
จนยากที่ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งยอมที่จะเป็นเครื่องมือทางการค้า
ฝังบางสิ่งไว้ในตัวเธอ เพื่อให้เป็นทางผ่านของอีกชีวิตหนึ่ง ที่ไม่ใช่ของเธอ
เรื่องอุ้มบุญไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในโลกใบนี้
เมื่อการตั้งท้องตามธรรมชาติกลายเป็นเรื่องยากสำหรับคู่สมรสหลายคู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางสุขภาพ
อายุ ความเครียดจากการทำงาน
หรืออะไรก็ตาม ทำให้ ทารกน้อย โซ่ทองคล้องใจที่จะคล้องให้ครอบครัวสมบูรณ์อย่างในอุดมคติ
ที่หลายคนใฝ่ฝันหา กลายเป็นเรื่องไม่ง่ายอย่างที่ใจคิด วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงได้ถูกพัฒนามาเพื่อช่วยในการเจริญพันธ์
การ
อุ้มบุญ
ก็คือการนำน้ำเชื้อของผู้ชายไปผสมกับไข่ของผู้หญิงที่ถูกกระตุ้นด้วยยาให้ตก
ไข่ออกมาหลายๆใบเพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นในการปฏิสนธิ
จากนั้นก็ให้เกิดการปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนในหลอดแก้ว
แล้วจึงนำไปฝังตัวที่มดลูกของ
“คุณแม่อุ้มบุญ” ซึ่งนั้นหมายความว่า
สามารถคัดเลือกสเปิร์มได้ เลือกเพศได้ แต่นั่นก็ไม่มีอะไรที่จะการันตีได้ว่าทารกที่เกิดมาจะสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ การทำเด็กหลอดแก้วจำเป็นต้องนำไข่ออกมานอกร่างกายของฝ่ายหญิง
ซึ่งต้องมารับการฉีดยากระตุ้นไข่ทุกวันเป็นระยะเวลา 10 วัน
กระบวนการนำไข่ออกมานอกร่างกายหญิงสาวนั้น
เสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น เกิดการอักเสบ
อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ
แต่ในกระบวนการซื้อขายเชื่อว่าผู้หญิงที่ไปขายไข่ไม่ทราบเรื่องนี้
และจะเป็นอันตรายมากขึ้นเพราะเมื่อเป็นการซื้อ-ขายที่ต้องการผลกำไร
ย่อมต้องมีการให้ยากระตุ้นไข่ให้ได้เยอะที่สุด
ยิ่งมีความเสี่ยงมากที่จะเกิดกรณีร่างกายตอบสนองกับยามากเกินไป
เสี่ยงต่อการเสียชีวิต
ที่สำคัญเมื่อเกิดการอักเสบแทรกซ้อนในอนาคตเสี่ยงที่จะไม่สามารถมีลูกได้
ข้อมูลเหล่านี้ได้มีการแจ้งให้แก่คุณแม่อุ้มบุญที่เปิดมดลูกให้เช่าหรือไม่
อย่างกรณีน้องแกมมี่ ที่อยู่ในกระแสในขณะนี้
ก็ไม่ใช่กรณีแรก เพียงแค่ “เป็นกรณีแรกที่ถูกเปิดเผย”
กรณีอย่างนี้มีมากมายที่ต่างประเทศในลักษณะเดียวกันกับ
น้องแกมมี่
คือได้สเปิร์มจากคุณพ่อและนำไปผสมกับไข่ที่อ้างว่าได้จากการบริจาคมาไม่ใช่
จากหญิงที่เป็นคู่สมรส
และ “เช่ามดลูก” ผู้หญิงที่ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีปัญหาเรื่องเงินกันแทบทั้งสิ้น
โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังพัฒนาอย่าง ประเทศไทย อินเดีย ฯลฯ ที่ต้องการ “เงิน”ในการจุนเจือครอบครัว แต่หลายคนก็เต็มใจเพราะถือว่าได้บุญไปในตัวที่สามารถช่วยให้คนที่อยากมีลูกได้สมปรารถนา
ส่วนคุณแม่อุ้มบุญก็มีรายได้ไปใช้จ่ายในหลักแสนจากค่าเวลาในการดูแลและบำรุงเด็กในครรภ์
จริงอยู่ว่าการอุ้มบุญ จะช่วยให้ผู้ที่อยากมีลูกได้สมปรารถนา
แต่การรับจ้างอุ้มบุญ ถือว่าเป็นการกระทำผิดตามประกาศแพทยสภา ฉบับที่ 21 ปี 2554 เรื่องมาตรฐานการให้บริการเกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์
ซึ่งกำหนดว่าการตรวจวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมของตัวอ่อน ก่อนย้ายเข้าสู่โพรงมดลูก ทำได้เฉพาะการตรวจวินิจฉัยโรคตามความจำเป็น
ต้องไม่กระทำในลักษณะการเลือกเพศ โดยสถานพยาบาลและแพทย์ผู้ให้บริการต้องได้รับหนังสือรับรองจากราชวิทยาลัยสูตินารีแพทย์แห่งประเทศไทย
นอก
จากนี้แพทยสภามีระเบียบข้อปฏิบัติอย่างชัดเจนเกี่ยวกับการอุ้มบุญอย่าง
ชัดเจนว่า
ต้องทำให้คู่สมรสตามกฎหมายเท่านั้น
แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงว่าต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนด้วยหรือไม่ซึ่งขณะนี้
ยังไม่ได้กำหนดถึงขั้นนั้น
และการอุ้มบุญต้องกระทำการโดยผ่านความสมัครใจ
และต้องเป็นญาติโดยสายเลือดของฝ่ายสามี
หรือภรรยาเท่านั้น ไม่ให้มีการซื้อขายหรือทำธุรกิจเด็ดขาด
แต่เมื่อกฎหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ ผู้
ดูแลกฎและมีเกี่ยวข้องต่างเพิกเฉย
ทั้งที่กระแสการรับจ้างอุ้มบุญเพียงแค่ค้นหาใน กูเกิ้ล
ก็โผล่รายละเอียดมาให้พรึบ
มีชาวต่างชาติมากมายเดินทางมาใช้โรงพยาบาลเมืองไทยผลิตทารกตามออเดอร์ ผ่านไป 9 เดือนก็เดินทางกลับประเทศพร้อมทารกไปดูแลในฐานะลูก
หากสิ่งที่ว่ามาเป็นการผสมเทียม
เพื่อต้องการมี “ลูก” จริงๆ
ก็ควรจะเป็นน้ำเชื้อและไข่ของคู่สมรส แต่ทำไมที่เป็นข่าวกันเกือบทั้งหมด กลับมีแต่น้ำเชื้อฝ่ายชายที่แจ้งความประสงค์เป็นพ่อ
แล้วไปผสมกับ ไข่ที่ได้จากการบริจาคจากหญิงชาวจีน
หรือหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา-คู่สมรส
กรณีล่าสุดหลังจาก เรื่อง
น้องแกมมี่โด่งดังก็ดูเหมือนจะมีการขยายผลคนตำรวจบุกแหล่งอุ้มบุญที่คอนโดแห่งหนึ่งกลางกรุงเทพมหานคร
พบเด็กอุ้มบุญ 9 คน
ที่เกิดจากน้ำเชื้อของพ่อชาวญี่ปุ่นคนเดียวกัน แต่ไข่นั้นจากไหนไม่มีใครทราบ
โดยทนายกรณีเด็กอุ้มบุญทั้ง 9 คน
ได้ยืนยันว่าทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และเด็กได้รับการดูแลอย่างดี โดย
เจ้าของน้ำเชื้อ ผู้เป็นพ่อของเด็กเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมหาศาล และต้องการมีลูกไว้คอยดูแลกิจการที่สร้างมา
!!!
การแต่งงานด้วยความรัก มีลูกเพิ่มเติมเต็มความสุข
ย่อมเป็นสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น การตั้งครรภ์ 9 เดือน ย่อมต้องมีความผูกพันของแม่ลูก
หากทารกเติบโตในครรภ์อย่างสมบูรณ์ ปัญหาก็คงไม่เกิด
แต่หากทารกเกิดมาพร้อมโรคทางพันธุกรรม รักษาไม่ได้ คำถามที่ตามมาคือ
จะต้องทำแท้งหรือ??
หนึ่งชีวิตที่บริสุทธิ์กลับถูกสั่งให้เกิดได้
สั่งให้ตายได้ ซื้อขายกันราวกับสินค้า หรือนี่จะเป็นการค้ามนุษย์แบเบาะ โดยที่
เด็ก ไม่มีโอกาสได้เลือกชีวิต แต่ถูกกำหนดให้เกิดตามคำสั่ง ว่ากันว่า
ธุรกิจเช่ามดลูกอุ้มบุญปีๆหนึ่งมีเงินสะพัดหลักพันล้านบาท
หาก อุ้มบุญกลายเป็นการเช่ามดลูกเชิงพาณิชย์สามารถทำได้อย่างอิสระ
คงได้เห็นการ ซื้อ-ขาย อวัยวะ มาใช้เป็นอะไหล่สำรองสักวันหนึ่ง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 990 ประจำวันที่ 8 - 14 สิงหาคม 2557)