หนังสือพิมพ์ภูมิภาค
มักบอกผมด้วยความถ่อมตัวเสมอๆว่า เป็นหนังสือพิมพ์บ้านนอก
คำว่าบ้านนอกในความหมายนั้น อาจหมายถึงความที่ไม่มีบทบาทสำคัญในความเป็นสถาบันสื่อ
ซึ่งผมจะโต้แย้งเสมอว่า หนังสือพิมพ์บ้านนอก หรือหนังสือพิมพ์ภูมิภาคนี่เอง
ที่เป็นหัวใจสำคัญของการปฎิรูปสื่อ
เพราะด้วยบริบททางสังคมที่ระบบอุปถัมภ์มีอิทธิพลสูงมาก
ถ้าหนังสือพิมพ์บ้านนอกยืนยันหลักการทำงานอย่างอิสระ ตรงไปตรงมาได้
นั่นย่อมเป็นความสำเร็จส่วนหนึ่งของการปฎิรูปสื่อแล้ว
ผมให้สัมภาษณ์ไว้ในหลายที่ เรื่องปฎิรูปสื่อ
ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ โทรทัศน์ ครั้งสุดท้ายที่ อัมรินทร์ทีวี เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา
แต่ที่ดูมีน้ำมีเนื้อพอจะมาถ่ายทอดกันต่อได้
เห็นจะเป็นบทสัมภาษณ์ขนาดยาว ใน “แทบลอยด์” ไทยโพสต์ ฉบับประจำวันที่ 3-9 สิงหาคม
2557 หลายเรื่องราว ที่คุณวรพล กิตติรัตวรางกูร ถามผม โดยเฉพาะเรื่องการปฎิรูปสื่อ
1 ใน 11 ด้านสำคัญที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่
จะเป็นรัฐธรรมนูญที่จะพูดถึงเรื่องการปฎิรูปสื่อในเชิงรูปธรรมอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ได้ตราแม่บทการปฎิรูปสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ไว้ในมาตรา
40 ของรัฐธรรมนูญปี 2540
ความต่างอย่างมีนัยสำคัญของรัฐธรรมนูญปี
2540 กับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็คือ
บริบททางสังคมที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารจัดการสื่อ
ปี 2540 มาจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535
ซึ่งรัฐบาลได้ใช้สื่อของรัฐ บิดเบือน ข้อมูลข่าวสาร
ทำให้ผู้ชุมนุมเพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีที่มาจากการปฎิวัติ
ออกจากตำแหน่งกลายเป็นผู้ร้าย
ในขณะที่บริบทสังคม ที่จะกำหนดเนื้อหาในการปฎิรูปสื่อตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
มาจากความขัดแย้งรุนแรงของคนในสังคม ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการทำหน้าที่ของสื่อ
รวมทั้ง ความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์สื่อ(Media Landscape) ซึ่งทำให้ทิศทางการทำงานของสื่อ
มุ่งสู่เป้าหมายทางธุรกิจมากขึ้น
แน่นอนว่า เมื่อขนาดของการประกอบธุรกิจใหญ่ขึ้น
นอกจากการคำนึงถึงผู้รับสารแล้ว ผู้บริหารยังจำเป็นต้องคิดถึงการหารายได้ให้เพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงองค์กรให้อยู่รอด
และยังต้องคิดถึงผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ เช่น เจ้าของ ผู้ถือหุ้น แต่ปัญหาสำคัญก็คือ
จุดสมดุลของเป้าหมายทางธุรกิจและอุดมการณ์อยู่ที่ใด นี่เป็นข้อถกเถียงกันพอสมควร และยังต้องไปคิดหาการออกแบบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เพื่อสร้างโมเดล ที่จะทำให้ถนนสองสายนี้ วิ่งคู่ขนานกันไป
โดยไม่สูญเสียอุดมการณ์และไม่ล้มเหลวทางธุรกิจ
ในการไปให้ข้อมูลกับคณะทำงานเตรียมการปฏิรูป
ของ คสช. ผมพบความจริงว่า คสช.ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปสื่อในแง่ของความขัดแย้งในสังคม
จากการทำงานของสื่อ โดยเฉพาะการถ่ายทอดวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง
(Hate
Speech) เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นคนละเรื่อง คนละประเด็นกับปัญหาเชิงโครงสร้างของสื่อในปัจจุบัน
เพราะสิ่งที่ คสช.มองนั้น คือบทบาทของสื่อการเมือง
ที่ใช้ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการสื่อสาร สร้างช่องทางการสื่อสาร
ที่ใช้ตอกย้ำความคิดในเชิงอุดมการณ์ ซึ่งหลายครั้งเลยเถิดไปจนถึงการยั่วยุ
เพิ่มน้ำหนักความขัดแย้ง และนำไปสู่การใช้ความรุนแรงในที่สุด
ต่อไปนี้ เป็นบางคำถามที่ผมตอบ และตัดตอนมาจากแทบลอยด์ ไทยโพสต์มองเจตนาอย่างไร ทำไม คสช.ถึงเขียนในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวให้ปฎิรูปสื่อ
คุณคิดว่า คสช.ยึดอำนาจเพราะอะไร ยึดอำนาจเพราะคนในสังคมมันแตกแยก
มันทะเลาะกันจนขนาดว่า ถ้าปล่อยให้เหตุการณ์อย่างนั้นเป็นต่อไป
มันก็มีแต่จะร้าวลึกลงไปเรื่อยๆ ถ้าคุณย้อนหลังไป 2 เดือนที่แล้ว
คุณคิดว่าคนพวกนั้น จะเข้าใจกันไหม คน 7 คณะ
(เหตุการณ์วันที่ 22 พ.ค.2557 )
เข้าไปพูดคุยว่าจะปรองดอง จะหาทางออกยังไงดี แต่คน 7 คณะ 7
กลุ่ม ยืนยันเอาตามของตัวเอง 7 เรื่องไม่มีใครลดราวาศอกให้แก่กัน
มันจะเดินหน้าต่อไปได้ไหม
แต่เราย้อนกลับมาว่า สิ่งที่มันเกิดขึ้น มันมาจากอะไร
ข้างหน้ามันคือตัวแทนของแต่ละกลุ่ม
เบื้องหลังคือสื่อที่ไปแบ็กอัพให้กับคนเหล่านั้น สื่อที่ไปสร้าง Agenda ไปทำให้ภาพทางสังคมของคนเหล่านั้นที่คิดว่ามีอำนาจ ฉะนั้น
สื่อคือตัวการสำคัญ
ถือว่าสื่อมีบทบาทสำคัญ
เราต้องยอมรับว่า สื่อเป็นจำเลยสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้น
สื่อก็ต้องรับผิดชอบ มันเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ คสช.คงเห็นเหมือนกันว่า
บทบาทของสื่อมีความสำคัญมาก ในการทำให้สังคมเกิดปรากฎการณ์ความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ว่าได้
จึงเป็นเรื่องปกติที่ คสช.อยากมาทำเรื่องสื่ออย่างจริงจัง
เลยแยกเรื่องปฎิรูปสื่อออกมาเป็นหัวข้อหนึ่งเลยในการจะไปร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
เราจะผลักดันการปฏิรูปสื่ออย่างไร
เรื่อง
สนช.เราได้ยืนยันมาตลอดทั้งอย่างเป็นทางการและไม่เป็นทางการว่า
องค์กรวิชาชีพจะไม่ส่งคนไปอยู่ใน สนช.โดยเด็ดขาด
แต่ไม่ได้แปลว่าในขั้นตอนของการยกร่างรัฐธรรมนูญ
หรืองานด้านนิติบัญญัติอื่นๆ(การให้ข้อมูลเรื่องปฎิรูปสื่อ) จะไม่มีตัวแทนสื่อเลย
ขั้นตอนการร่างรัฐธรรมนูญ ผมคิดว่าถ้าเป็นไปได้ ควรผลักดันคนของเราเข้าไปมีบทบาทในนั้น
เพราะการปฎิรูปสื่อสารมวลชนเป็นหัวใจสำคัญอันหนึ่งของรัฐธรรมนูญ เราคงไม่สบายใจ ถ้าให้คนอื่นหรือใครก็ไม่รู้มาปฏิรูปเรา
ถ้ามีช่องทางพอให้ผลักดันได้ ในส่วนของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ
เราก็ควรผลักดันคนของเราให้เข้าไปมีบทบาทด้วย
นี่เป็นเพียงบางคำตอบ คำถามของการปฏิรูปสื่อ
ติดตามฉบับเต็มได้ใน ไทยโพสต์ แทบลอยด์
ยังอาจมีคำถามอีกมาก เรื่องปฏิรูปสื่อ
โดยเฉพาะการทำลายกำแพงทุน ที่กำลังเข้ามายึดครองพื้นที่สื่อในนาทีนี้
และการจัดการกับผู้มีอิทธิพล นายทุนท้องถิ่นที่พยายามเข้ามาครอบงำการทำงานของสื่อบ้านนอก
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 990 ประจำวันที่ 8 - 14 สิงหาคม 2557)