บริษัทขายกล่องดิจิทัลยังไม่เลิกล่ารายชื่อ
ลำปางพบอีกแจ้งผ่านชมรมคนพิการ ต.ต้นธงชัย แลกเงินสนับสนุนชมรม ขณะที่ กสทช.เขต3 พูดไม่ออก
เผยไม่สามารถดำเนินการใดๆได้
ทำได้เพียงส่งเอกสารหลักฐานให้ทางส่วนกลางพิจารณาเท่านั้น
ล่ารายชื่อรับกล่องดิจิทัลยังระบาดไม่เลิก
ล่าสุด นายเทศมนตรีเมืองเขลางค์นคร ออกหนังสือถึงประธานชุมชน
ให้ประชาสัมพันธ์เรื่องจองกล่องดิจิทัล
หลังได้รับการประสานงานจากชมรมคนพิการและผู้ด้อยโอกาสตำบลต้นธงชัย โดยมีเนื้อหาสำคัญว่า “เทศบาลเมืองเขลางค์นคร
ได้รับการประสานจากชมรมคนพิการและผู้ด้อยโอกาสตำบลต้นธงชัย
เพื่อประชาสัมพันธ์สอบถามความประสงค์ในการแลกคูปองเป็นเครื่องแปลงสัญญาพร้อมอุปกรณ์
เพื่อนำไปติดตั้งกับโทรทัศน์ในระบบเดิมให้สามารถรับชมระบบดิจิทัลได้รวม 48
ช่อง ซึ่งคูปองที่ประชาชนจะได้รับจาก กสทช.มีมูลค่า 690 บาท
เมื่อนำไปแลกซื้อเครื่องแปลงสัญญาณพร้อมอุปกรณ์กับห้างร้านทั่วไปที่ร่วมโครงการ
จะต้องจ่ายเงินสำหรับส่วนต่างอย่างน้อย 400 บาท
เนื่องจากราคาเครื่องแปลงสัญญาณดิจิทัลพร้อมอุปกรณ์จะจำหน่ายในราคาขั้นต่ำ 1,090 บาทท
แต่ทางชมรมได้รับการประสานจากบริษัท TOS ซึ่งผลิตเครื่องแปลงสัญญาณดิจิทัลพร้อมอุปกรณ์ ตามมาตรฐานของสำนักงาน
กสทช. เพื่อช่วยเหลือครอบครัวผู้มีรายได้น้อย ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส
สมาชิกสหกรณ์เกษตร เกษตรกร
ให้ไม่ต้องซื้อโทรทัศน์เครื่องใหม่แต่สามารถรับชมรายการโทรทัศน์ระบบดิจิทัลจากโทรทัศน์ระบบเดิมที่มีอยู่ ซึ่งจะต้องนำคูปองมูลค่า 690 บาท มาแลกเครื่องแปลงสัญญาณ โดยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มแต่อย่างใด
โดยผู้มีความประสงค์ต้องเป็นเจ้าของบ้านและกรอกข้อมูลเพื่อแสดงความจำนงจองเครื่อง
แล้วนำส่งชมรมคนพิการฯเพื่อส่งรายชื่อให้กับบริษัทต่อไป
หลังจากเจ้าบ้านได้รับคูปองแล้วจึงนำคูปองไปแลกเครื่องแปลงสัญญาณฯ กับชมรมฯ
ในเดือนตุลาคม 2557 เป็นต้นไป”
เมื่อสอบถามไปยังฝ่ายกองสวัสดิการสังคม
เทศบาลเมืองเขลางค์นคร ทราบว่า นายทัพ วงศ์ชัย
ประธานชมรมผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสตำบลต้นธงชัย
ได้เข้ามาติดต่อที่เทศบาลฯเพื่อขอให้ประชาสัมพันธ์โครงการจองกล่องดิจิทัลดังกล่าว ซึ่งนายทัพได้เคยประสานงานเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆของชมรมคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อนำเรื่องเสนอผู้บริหารก็เห็นว่าไม่มีความเสียหายอะไร
จึงได้มีหนังสือแจ้งประชาสัมพันธ์ไปยังประธานชุมชนต่างๆ
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมจองกล่องดิจิทัลดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง
นายทัพ วงศ์ชัย ประธานชมรมผู้พิการและผู้ด้อยโอกาสตำบลต้นธงชัย เปิดเผยว่า
ตนได้เดินทางไปบริษัท TOS
โดยตรง และได้มีการร่วมประชุมกันหลายครั้ง
ทางบริษัทให้โครงการนี้มา เพื่อให้ผู้พิการ ผู้มีรายได้น้อย
ผู้ด้อยโอกาสได้ใช้กล่องดิจิทัลตามที่ กสทช.แจกคูปอง
ในขณะที่โครงการที่บริษัทให้มานั้น ให้นำคูปองมาแลกที่ชมรมคนพิการฯ
โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติม
ซึ่งทางบริษัทจะสนับสนุนงบประมาณก้อนหนึ่งให้กับชมรมคนพิการฯ ซึ่งทางชมรมมีหน้าที่รวบรวมรายชื่อผู้มาแสดงความจำนงขอรับกล่องทีวีดิจิทัล และมีเครื่องหมายรับประกันจาก กสทช.ติด
และมีหนังสือรับประกันมาตรฐานอีกไม่ต่ำกว่า 3 ปี ไม่ใช่การนำของโหลราคาถูกมาแจก
เราไม่มีเงื่อนไข ไม่มีการเรียกเก็บเอกสารใดๆ
นายทัพ
กล่าวว่า กรณีที่มีการนำเสนอข่าวการจดรายชื่อเพื่อนำไปแลกกล่อง ก็ได้ยินข่าวมามากมาย
หาข้อมูลมาพอสมควร บางคนก็ให้เอาเอกสารสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านไป
ซึ่งภายหลังได้มีการห้ามนำหลักฐานของชาวบ้านไปเด็ดขาด ในส่วนของตนนั้นจะให้แจ้งเพียงชื่อที่อยู่
และเลขบัตรประชาชน 13 หลัก
เมื่อนำมาเอากล่องค่อยเอาบัตรประชาชนมาเทียบว่าตรงกับที่แจ้งความจำนงมาหรือไม่ ขณะเดียวกันถ้าเอาเครื่องไปแล้วใช้ไม่ได้ก็ให้นำมาคืน
ทางโครงการฯจะเปลี่ยนให้โดยไม่มีเงื่อนไข
ไม่มีการเรียกร้องเอาเงินแม้แต่สตางค์แดงเดียว
เพราะทำโครงการเพื่อช่วยเหลือเท่านั้น
ถ้ามีคูปองแต่ไม่เข้าโครงการจะไปหาซื้อเองก็ได้ไม่ว่ากัน ส่วนต่างที่ต้องจ่ายเพิ่มก็เพิ่มกันเอง
แต่ในขณะเดียวกันถ้ามาที่ชมรมเราก็จะให้ตามที่ขอแจ้งความจำนงมา ไม่มีการเรียกร้องขออะไรเพิ่มเติมใดๆทั้งสิ้น ทางชมรมก่อตั้งมา 10
กว่าปีแล้ว มีการช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณะมาโดยตลอด
ช่วยเหลือเรื่องรถเข็นให้ผู้พิการ บริษัทเห็นว่าเราทำให้สาธารณประโยชน์จริง โดยไม่หวังผลตอบแทน
ก็เลยนำโครงการมาให้แจกกล่อง
และบอกว่าเมื่อเสร็จโครงการจะให้ค่าใช้จ่ายช่วยเหลือชมรมฯ
แต่ไม่ทราบว่าเป็นเงินจำนวนเท่าไร ตอนนี้ที่ลำปางมีคนส่งชื่อมาประมาณ
20,000 กว่ารายแล้ว ใครที่เห็นว่าโครงการนี้ดีก็เข้ามา
แต่หากคิดว่ามีผลกำไรก็ไม่ต้องเข้ามาหา ยืนยันว่าทำด้วยจิตอาสาจริงๆ หากมีใครไปแอบอ้างไปเรียกเงินไม่ใช่ชมรมคนพิการฯแน่นอน
นายทัพ กล่าว
ด้านนายธีรัช
เพ็ชรหิน ผอ.กสทช.เขต 3
ลำปาง กล่าวว่า
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดยากมาก ถึงแม้จะห้ามแต่ก็ยังมีการทำอยู่ ตอนนี้ก็ทราบว่ามีการนำสติ๊กเกอร์ของปลอมออกมาแล้ว
บริษัทต่างๆก็พยายามที่จะหลบหลีกเงื่อนไขและระเบียบของสำนักงานพอสมควร เมื่อมีกรณีเช่นนี้
ในพื้นที่ทำได้แค่เก็บข้อมูลและส่งสรุปเรื่องเข้าไปที่ กสทช.
แต่ต้องมีข้อมูลและหลักฐานเพียงพอ ว่าบริษัทมีข้อความเชิญชวนให้มาทำจริงๆ
อีกส่วนก็จะเป็นเรื่องที่ประชาชนร้องเรียนเข้ามาว่ามีความไม่ชอบมาพากลหรือไม่อย่างไร
ก็ต้องหาข้อมูลและส่งให้ทางสำนักงาน กสทช. พิจารณาต่อไป
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 995 ประจำวันที่ 12 - 18 กันยายน 2557)