มี
ใครสังเกตไหมว่า ระยะหลังมานี้
แม่น้ำวังช่วงที่ไหลผ่านตัวเมืองลำปางของเราเริ่มจะมีพืชน้ำตัวร้ายอย่างผัก
ตบชวาเข้ามารุกรานบ้างแล้ว
จากจำนวนไม่กี่กอตอนนี้
ในระยะเวลาอันใกล้มันจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลจนยากจะกำจัด
เพราะผักตบชวามีการเจริญเติบโตรวดเร็วมาก
จึงได้รับการจัดอันดับว่าเป็นวัชพืชร้ายแรง
1 ใน 10 ของโลก ในต่างประเทศมีการกล่าวถึงความร้ายกาจของผักตบชวาไว้
เช่น
ประเทศคองโก พบผักตบชวาครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2495
หลังจากนั้นเพียง 2 ปี พืชลอยน้ำชนิดนี้ก็แพร่ไปตามแม่น้ำคองโกได้ไกลถึง
1,600 กิโลเมตร กลายเป็นอุปสรรคในการขนส่งแร่ทองและยูเรเนียมไปจำหน่ายในตลาดยุโรปและอเมริกา
มิหนำซ้ำยังปกคลุมผิวน้ำทำให้ออกซิเจนมีน้อยจนสัตว์น้ำไม่สามารถอาศัยอยู่ได้
รัฐบาลต้องทุ่มเงินมากมายในการกำจัด
ประเทศมาเลเซีย รัฐโกตามารู ปี พ.ศ. 2500 แพผักตบชวาขนาดมหึมาลอยกีดขวางกลางลำน้ำ
ปิดกั้นการไหลของน้ำลงสู่ทะเล เป็นสาเหตุให้เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่หลังพายุฝน
สำหรับประเทศไทย ผักตบชวาถูกนำเข้ามาปลูกเมื่อปี
พ.ศ. 2444
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
จากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งจะว่าไป ดอกของมันนั้นสวยน้อยอยู่เสียเมื่อไร
ช่อดอกผักตบชวามีความคล้ายคลึงกับดอกไฮยาซินธ์ จึงมีชื่อเรียกว่า Water
Hyacinth มันจะออกดอกในช่วงปลายฤดูหนาวเข้าฤดูร้อน โดยออกดอกเป็นช่อแน่นที่ปลายยอด
ดอกย่อยขนาด 2 เซนติเมตร มีกลีบดอกบาง 6 กลีบ สีฟ้าอมม่วงหวานละมุนยิ่งนัก
กลีบบนขนาดใหญ่และมีแต้มสีเหลืองที่กลางกลีบ
ทว่าอย่าได้หลงเพริศไปกับความสวยงามของดอกมันเลยเชียว
เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน ผักตบชวาได้แพร่ระบาดไปทั่วประเทศ
จนกระทั่งมีการตราพระราชบัญญัติสำหรับกำจัดผักตบชวาเมื่อปี พ.ศ. 2456 ว่า
ห้ามมิให้ผู้ใดนำพาผักตบชวาไปตามที่ต่าง ๆ และถ้าใครมีผักตบชวาก็ต้องทำลายเสียให้หมด
แถมยังมีบทลงโทษ คือ ทั้งจำทั้งปรับ แต่ก็ยังมีผักตบชวาระบาดอยู่ทั่วไป ต่อมาในปี
พ.ศ. 2520 ได้มีโครงการรณรงค์กำจัดผักตบชวาทั่วประเทศครั้งใหญ่
ถึงกระนั้นในปี พ.ศ. 2525 ในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ยังมีผักตบชวากีดขวางการสัญจรทางน้ำจนต้องมีการระดมกำลังกำจัดอย่างจริงจังอีกครั้ง
ที่เราเรียกกันว่าผักตบชวา
เพราะเรานำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย แท้จริงแล้วมันคือพืชน้ำพื้นถิ่นของทวีปอเมริกาใต้
ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศบราซิล โดยมันใช้เวลาเพียง 100 กว่าปีเท่านั้นในการกระจายไปตามประเทศเขตร้อนและกึ่งร้อนทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม นักพฤกษศาสตร์กลับพบว่า มันไม่ได้สร้างปัญหาใด ๆ ต่อประเทศบราซิลและประเทศต่าง
ๆ ในอเมริกาใต้ เพราะในถิ่นกำเนิดของมันมีโรคแมลงและศัตรูอื่นคอยควบคุมการระบาดเอง
จัดเป็นความสมดุลทางธรรมชาติ แต่เมื่อมันไปเจริญเติบโตที่อื่น
ซึ่งไม่มีศัตรูธรรมชาติควบคุม ทำให้ตลอดระยะเวลากว่า 1 ศตวรรษ
ผักตบชวาระบาดไปกว่า 50 ประเทศ กลายเป็นวัชพืชที่สร้างปัญหามากที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง
เพราะไม่ว่าจะเพียรหาทางกำจัดเจ้าพืชชนิดนี้มากเท่าไร เสียค่าใช้จ่ายไปแล้วจำนวนมหาศาล
แต่มันก็ไม่หมดไปง่าย ๆ ดังนั้น จึงมีแนวคิดว่า ในเมื่อปราบอย่างไรก็ไม่หมด
ก็กลับมาหาประโยชน์จากมันดีกว่า
จากแนวความคิดนี้จึงได้มีการค้นคว้าวิจัยกันว่าจะนำผักตบชวามาใช้ทำอะไรได้บ้าง
ซึ่งก็พบว่า สามารถทำเป็นอาหารสัตว์รสเลิศได้ โดยหมักกับรำละเอียด แล้วนำไปเลี้ยงวัว
หมู และปลากินพืช
การทำปุ๋ยหมักจากผักตบชวา ทำได้โดยนำไปตากแดดเพื่อลดปริมาณน้ำออกไปบ้าง
แล้วกองสลับกับมูลสัตว์ทิ้งไว้ระยะหนึ่ง จะได้ปุ๋ยหมักชั้นดีสำหรับปลูกต้นไม้
ผักตบชวายังถูกนำมาทดลองทำเยื่อกระดาษ
ทำแท่งเชื้อเพลิงและก๊าซชีวภาพ ทำเป็นที่ปลูกเห็ด และนำไปประดิษฐ์เป็นภาชนะปลูกพืช
แต่ก็ไม่ค่อยแพร่หลายมากนัก
ที่นิยมกันมากกลับกลายเป็นการนำมาทำเครื่องจักสาน
ผักตบชวาที่มีกอต้นสูง ๆ นั้น สามารถนำมาทำเป็นเส้นตากแห้ง
เพื่อทำเครื่องจักสานได้หลายชนิด แล้วยังถูกแปลงโฉมเป็นของแต่งบ้านและเฟอร์นิเจอร์สุดเก๋ชนิดที่ลืมความร้ายกาจของมันไปได้เลย
ไม่น่าเชื่อว่า ผักตบชวาสามารถช่วยบำบัดน้ำเสียได้
โดยมีการทดลองใช้ผักตบชวาบำบัดน้ำเสีย ซึ่งเกิดจากแหล่งชุมชนที่บึงมักกะสันพบว่า
มันสามารถดูดซับธาตุอาหารและโลหะหนักที่อยู่ในน้ำเสียได้ดีมาก
สามารถดูดซับไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแมงกานีสได้ดีเมื่อมีอายุประมาณ 8 สัปดาห์
นอกจากนี้ ยังช่วยลดค่า COD ในน้ำทิ้งหลายชนิด
เอ่ออันที่จริง
ก้านใบอ่อนและดอกอ่อนของมันก็กินเป็นผักลวกจิ้มกับน้ำพริก หรือนำมาทำแกงส้มได้อร่อย
แต่อย่าหลงใหลไปกับรูป-รสของมันเด็ดขาด เพราะเผลอแป๊บเดียว แม่น้ำวังของเราคงมีเจ้าพืชชนิดนี้ลอยล่องเต็มท้องน้ำแน่
ๆ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1001 ประจำวันที่ 24 - 30 ตุลาคม 2557)