วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

จากจิ่วจ้ายโกว ถึงแจ้ซ้อน


  ท้  องน้ำสีเขียวคราม ท้องฟ้าสีฟ้าใส นี่คงเป็นดินแดนแห่งสายน้ำที่งดงามที่สุดในโลก และตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ม้าสีหมอก ถูกโอบกอดไว้ด้วยขุนเขาและสายน้ำเช่นนี้ เป็นความสุขเพียงชั่วคราว เช่นเดียวกับความสุขทุกชนิดในโลกนี้ ที่ไม่มีวันอยู่กับเราตลอดไป



ถึงแม้จะเป็นเพียงห้วงระยะเวลาสั้นๆ  แต่ก็เพียงพอที่จะเก็บเกี่ยวบางเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะการบริหารจัดการธรรมชาติ ที่ทำให้หวลระลึกถึง  อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน  ของขวัญจากธรรมชาติของเรา ที่ยังต้องการการบริหารจัดการให้สมกับสิ่งมีค่าที่เรามี

ม้าสีหมอกเลือกเส้นทางไปสู่อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว ดินแดนที่ได้ชื่อว่า สวยสุดของสายน้ำ โดยผ่านเมืองเฉินตู มณฑลเสฉวน แหล่งกำเนิดหมีแพนด้า ที่เกิดของหลินฮุยและช่วงช่วง พ่อแม่ของหลินปิงแห่งสวนสัตว์เชียงใหม่  เราใช้เวลาเดินทางราว 5 ชั่วโมง สู่เมืองเม้าเสี้ยน กลางทางระหว่างเฉิงตูกับอุทยานจิ่วจ้ายโก พักที่นี่หนึ่งคืน ก่อนลัดเลาะไปตามขุนเขาสูง มุดหินผาที่ถูกเจาะทะลุเป็นช่อง อีกราว 2 ชั่วโมง สองข้างทางคือขุนเขา และใบไม้เปลี่ยนสี เขียว ทอง หลากสีสัน 

หลายสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติในช่วงเวลานี้ ใบไม้ล้วนเปลี่ยนสี ใบไม้แดงที่โครังเค จังหวัดโอจิ ประเทศญี่ปุ่น ใบไม้สลับสีบนยอดดอยอินทนนท์ และใบไม้เปลี่ยนสีที่จิ่วจ้ายโก แต่จุดหมายของเราไม่ใช่ใบไม้เปลี่ยนสี

จิ่วไจ้โกว เป็นพื้นที่อนุรักษ์ทางตอนเหนือของมณฑลเสฉวน ห่างจากเมืองเฉิงตูราว 500 ก.ม.ประมาณกรุงเทพ ลำปาง อยู่ในอำเภอหนันผิง เขตปกครองตนเองของเผ่าเชียงชนชาติทิเบต ดังนั้น จิ่วไจ้โกว จึงมีกลิ่นอายของทิเบตมากกว่าจีน อาคารบ้านเรือน สถาปัตยกรรมแบบทิเบต ธงทิวที่แสดงฐานะของเจ้าของบ้าน และสาวแก้มแดงธรรมชาติ ด้วยอากาศเย็นยะเยือกที่ขับเน้นให้เห็นความงดงามดุจดอกไม้แรกผลิ ฝูงจามรี ฝูงแกะ ตามโตรกผา เป็นสัตว์ประจำถิ่น และเป็นเครื่องนุ่งห่ม เครื่องประดับ หวีจากเขาจามรี ที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดของหวี  จนกระทั่งการเป็นอาหารการกินของเผ่าเชียง 

ม้าสีหมอก ก็ได้ลิ้มรสจามรีหมักเครื่องเทศเข้มข้นครั้งแรกในชีวิต

จิ้วไจโกว  เป็นหุบเขาทอดตัวคดเคี้ยวไปมา ตามโตรกธารลดเลี้ยวผ่านผาสูงและน้ำตก ตระการตาด้วยสีสันของใบไม้สีทอง ธารน้ำสองสายไหลมาบรรจบกัน สายหนึ่งไหลมาจากฉ่างไห่ สายหนึ่งไหลมาจากตาน้ำดึกดำบรรพ์ทางทิศตะวันออก เกิดเป็นทะเลสาบกระจก น้ำเรียบสะท้อนเงาราวกระจก จากนั้นไหลลงสู่แม่น้ำไป๋สุ่ยเจียง ผืนน้ำในอ้อมกอดขุนเขาแผ่ปกคลุมพื้นที่กว่า 720 ตารางกิโลเมตร แต่ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก เป็นทะเลสาบสีคราม ไม่ปรากฏผู้คนลงเล่นน้ำ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมืองไทย เนื่องเพราะผู้คนของเขาชื่นชมแต่ธรรมชาติเท่านั้น 

หมุดหมายสำคัญของจิ่วจ้ายโกว ที่ขับเน้นให้แหล่งท่องเที่ยวนี้ โดดเด่นมากกว่าแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เนื่องเพราะความเป็นทะเลสาปน้ำจืดขนาดน้อยใหญ่มากถึง 144 แห่ง ใบไม้เปลี่ยนสีที่งดงาม เทือกเขาที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะสีขาวตลอดปี น้ำตกขนาดน้อยใหญ่ ลำธารมากมายกระจัดกระจายอยู่ทั่วหุบเขา รวมทั้งเจ้าของถิ่นหมู่บ้านเก้าแห่ง ของชนเผ่าทิเบต อันเป็นที่มาของนาม จิ่วไจ้โกว หมู่บ้านทิเบตอยู่ริมธารน้ำบริเวณนี้มาแต่บรรพกาล และทุกวันนี้พวกเขาก็ยังอยู่ เพียงแต่วิถีชีวิตเปลี่ยนไปเมื่อการท่องเที่ยวเดินทางมาถึง

ม้าสีหมอก กับจามรีสีขาว มีโอกาสสัมผัส พูดคุยกันพอสมควร ในฐานะสัตว์ต่างถิ่น แต่จุดบันดาลใจสำคัญก่อนจากจิ่วจ้ายโกว คือการจัดการบริหารแหล่งท่องเที่ยวของไทย เช่น อุทยานแห่งชาติแจ้ซ้อน ที่ยังคงความเป็นไทยแท้ไว้ สบายๆไม่มีพื้นที่อนุรักษ์ ไม่มีสถานที่ที่ห้ามผู้คนเหยียบย่ำทำลาย หรือทำสิ่งใดนอกเหนือไปจากเพียงได้ชื่นชมธรรมชาติ 

วันหนึ่งม้าสีหมอกจะชวนคนลำปางนั่งลงสนทนากันสักคราหนึ่ง เพื่อช่วยกันให้แจ้ซ้อนส่องประกายไม่แพ้จิ่วจ้ายโกว  


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1002 ประจำวันที่ 31  ตุลาคม - 6 พฤศจิกายน  2557)


Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์