วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

ประทุษวาจา รธน.ตกหล่ม




นับเป็นความก้าวหน้าของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด ที่บรรจุถ้อยคำ “ประทุษวาจา” หรือ วาทกรรมแห่งความเกลียดชังหรือ Hate Speech เป็นข้อจำกัดการใช้เสรีภาพ อีกข้อหนึ่ง นอกจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2550 ซึ่งเป็นต้นแบบในการร่างของกรรมาธิการ

รัฐธรรมนูญ ที่บรรจุด้วยคำว่า ประทุษวาจา จึงเป็นคล้ายรัฐธรรมนูญตกหล่ม

รัฐธรรมนูญเดิม จำกัดเสรีภาพในเรื่อง ความมั่นคงของรัฐ สิทธิ เสรีภาพ เกียรติยศ ชื่อเสียง สิทธิในครอบครัว หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวของบุคคลอื่น เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ป้องกันหรือระงับความเสื่อมทรามทางจิตใจหรือสุขภาพของประชาชน

ในข้อจำกัดเดิมนั้น คำว่าความมั่นคงของรัฐถูกตีความได้อย่างกว้างขวางมาก เฉพาะที่เป็นปัญหาถกเถียงกันและนำไปสู่คดีความที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายจำนวนไม่น้อย คือความผิดต่อความมั่นคง ความผิดต่อสถาบัน  ซึ่งผูกโยงไปถึงความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

ดังนั้น เราจึงพบคดีความผิดฐานหมิ่นสถาบัน ในคดีหมิ่นประมาทและความผิดว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ เป็นคดีความที่หลายครั้งถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพราะมีการตีความว่า ความผิดต่อสถาบันเป็นความผิดในเรื่องความมั่นคงด้วย ทั้งที่กฎหมายคอมพิวเตอร์ไม่ได้บัญญัติไว้

และหากพิจารณาเฉพาะกฎหมายอาญาว่าด้วยหมิ่นประมาท ก็ถูกทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นเรื่องเดียวกับการหมิ่นประมาทตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งกฎหมายคอมพิวเตอร์บัญญัติไว้เฉพาะการหมิ่นประมาทด้วยภาพเท่านั้น หรือการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีหลักในการวินิจฉัยต่างกับคดีหมิ่นประมาททั่วไป อย่างไรก็ตามหากมีการฟ้องหมิ่นประมาททั้งกฎหมายอาญา และกฎหมายคอมพิวเตอร์ นั่นหมายถึงผู้ถูกฟ้อง จะต้องรับโทษหนักขึ้น และถือเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ยอมความไม่ได้

ข้อสังเกตเรื่องความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง เมื่อเทียบกับคำว่า “ประทุษวาจา” วาทกรรมแห่งความเกลียดชังก็คือการเปิดช่องทางให้มีการตีความอย่างกว้างขวาง ซึ่งโดยความหมายของวาทกรรมแห่งความเกลียดชังนั้น ไม่อาจเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรได้ เนื่องจากยังมีความเข้าใจไม่ตรงกัน และวันข้างหน้าก็อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือของคู่ขัดแย้งทางการเมืองได้ เช่นเดียวกับความผิดบางฐานที่กลายเป็นคดีความ ฟ้องกันไปฟ้องกันมาไม่รู้จบ

ในทัศนะของผมที่เคยได้ตอบงานวิจัยของ ผศ.ดร.พิรงรอง รามสูตรณะนันท์ เห็นว่า การจัดการกับ Hate Speech ไม่อาจใช้กฎหมายมาเป็นหลักในการวินิจฉัยได้

เพราะจากสรุปความหมาย คำว่าความเกลียดชังในงานวิจัย  เขาอธิบายว่า คือการใช้คำพูดหรือการแสดงออกทางความหมายใดๆที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อโจมตีกลุ่มบุคคลหรือปัจเจกบุคคล โดยมุ่งไปที่ ฐานของอัตลักษณ์ซึ่งอาจจะติดตัวมาแต่ดั้งเดิม หรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว สถานที่เกิด/ที่อยู่อาศัยอุดมการณ์ทางการเมือง อาชีพ หรือลักษณะอื่นที่สามารถทำให้ถูกแบ่งแยกได้ การแสดงความเกลียดชังที่ปรากฏอาจเป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรี หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือยุยงส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดความรุนแรงด้วยก็ได้

ความหมายของ Hate Speech แตกต่างจากการหมิ่นประมาทด้วยถ้อยคำ ในประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง แปลว่าการหมิ่นประมาทนั้น  ผลหรือความรู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาทจะเกิดขึ้นทันที และก่อให้เกิดสิทธิในการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งหมิ่นประมาท และละเมิด อันเป็นจุดเริ่มต้นในการนับอายุความฟ้องร้องคดี

แต่ Hate Speech ไม่สามารถบอกได้ในขณะนั้นว่า เป็นวาทกรรมที่สร้างความเกลียดชัง จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรง หรือลุกขึ้นมาเข่นฆ่ากันหรือไม่ เช่น การเปิดสถานีวิทยุยานเกราะก่อนยุค 6 ตุลา ให้ประชาชนฝ่ายที่ต่อต้านนักศึกษา มาออกอากาศพูดว่า ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นแกว เป็นญวน ไม่ใช่คนไทย หรือในธรรมศาสตร์เป็นที่ซ่องสุมอาวุธและกำลัง มีอุโมงค์ลับที่เชื่อมออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา

จนกระทั่งในที่สุด ทำให้กลุ่มชนจำนวนหนึ่งลุกฮือเข้าไปล้อมปราบนักศึกษา เข่นฆ่า ทารุณกรรมด้วยวิธีต่างๆทั้งที่เป็นคนเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งคนที่มีความเป็นมนุษย์จะไมมีวันทำเช่นนี้
ฉะนั้น หากจะนิยามให้ใกล้ความจริงมากที่สุด ก็ต้องบอกว่า Hate Speech คือวาทกรรมที่สร้างและสั่งสมความเกลียดชัง จนกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ

และคงต้องทบทวนกันอย่างละเอียดรอบด้านอีกครั้ง แม้จะเห็นว่า Hate Speech คือความเลวร้ายชนิดใหม่ของสังคมไทย แต่ก็ไม่ควรให้ Hate Speech กลายเป็นเครื่องมือในการบิดเบือนและทำร้ายคนอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ชอบธรรม


Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์