วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

เปิดปมไล่ผอ. ไม่ฟังเสียงใคร



ผอ.สพป.เขต 1 ชี้ผู้บริหารลำปางมีความสามารถ แต่บางคนยังขาดความเข้าใจในการสร้างทีมงาน และพัฒนาบุคลากร  รวมทั้งใช้ความเป็นผู้นำมากเกินไปเกิดการไม่รับฟังความคิดเห็นจากผู้ร่วมงาน แนะหากจะเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ต้องพิจารณาร่วมกัน  เผยกรณีการขับไล่ ผอ.โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ เป็นบทเรียนสำคัญของผู้บริหาร

หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่มีการชุมนุมประท้วงของนักเรียนได้ออกมาขับไล่ผู้บริหารโรงเรียนใน จ.ลำปางแล้วถึง 2 ครั้ง จึงทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการบริหารทางด้านการศึกษาของ จ.ลำปาง ว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด ผู้สื่อข่าวลานนาโพสต์จึงได้สอบถามความเห็นดังกล่าวไปยัง นายสมบัติ สุทธิพรมณีวัฒน์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1 ในฐานะที่เป็นนักการศึกษา เกี่ยวกับคุณภาพด้านการศึกษาและการบริหารการศึกษาโดยภาพรวมของ จ.ลำปาง

นายสมบัติ กล่าวว่า  ถ้ากล่าวถึงภาพรวมการศึกษาของ จ.ลำปาง ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าภาคภูมิใจ เรามีการศึกษาทุกระดับตั้งแต่ประถมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา  นอกจากนั้นยังมีการศึกษาตามอัธยาศัย  ในส่วนของอุดมศึกษาก็มีหลายแห่ง สำหรับระดับปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา มีกระจายอยู่ทั้ง 13 อำเภอ แบ่งเป็น 3 เขตพื้นที่  นอกจากนั้นก็ยังมีโรงเรียนเอกชนกระจายอยู่ทุกอำเภอ แต่ที่อำเภอเมืองจะมีมากที่สุด และยังมีระดับอาชีวศึกษาอีกหลายแห่ง อีกทั้งยังมีโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนการกุศล เช่น โรงเรียนวัด  โดยแต่ละแห่งมีจุดเด่นและมีคุณภาพแตกต่างกันไป 

หากพูดถึงคุณภาพการศึกษาของลำปางโดยส่วนใหญ่ถือว่าดี ในระดับมัธยมศึกษามีหลายโรงเรียนที่อยู่อันดับต้นๆของประเทศ เช่น โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัยอยู่อันดับที่ 6 จากการประเมินคุณภาพทั่วประเทศ คุณภาพสูงกว่าหลายโรงเรียนในกรุงเทพฯ และยังมีโรงเรียนอื่นๆที่มีคุณภาพชัดเจน เช่น โรงเรียนลำปางกัลยาณี โรงเรียนอัสสัมชัญ  ในระดับอำเภอก็เช่นกัน เช่น โรงเรียนเสริมงามวิทยาคม  ส่วนโรงเรียนเอกชนก็เช่น โรงเรียนไตรภพวิทยา โรงเรียนพินิจวิทยา  ซึ่งในเขตพื้นที่การศึกษา เขต 1 ในการสอบวัดผลการสอบ O-NET ครั้งที่ผ่านมา  ค่าเฉลี่ยของคะแนนเกือบทุกวิชาสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ  แสดงถึงคุณภาพทางการศึกษาของลำปางที่ดี   ระดับประถมโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของ สมศ. กว่า 90 เปอร์เซ็นต์ มีหลายโรงเรียนที่ได้รับรางวัลระดับภาค เช่น โรงเรียนอนุบาลลำปางฯ ได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทานระดับประถมศึกษา และทราบว่าปีนี้ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศโรงเรียนพระราชทานระดับปฐมวัย  และยังมีโรงเรียนขนาดเล็กได้รับรางวัลพระราชทานระดับประเทศคือ โรงเรียนบ้านเหล่า อ.ห้างฉัตร  ซึ่งก็เป็นความภาคภูมิใจของเขตพื้นที่การศึกษาและจังหวัดลำปาง  ผอ.สพป.เขต 1 กล่าว

เมื่อสอบถามถึงคุณภาพด้านบุคลากร   ผอ.สพป.เขต 1 กล่าวว่า  ถ้าวัดด้านการศึกษาบุคลากรกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ จบระดับปริญญาตรี แต่บางโรงเรียนมีครูไม่เพียงพอ ขาดครูที่จบในระดับปริญญาตรีในสาขาที่สำคัญ โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ  ทุกเขตพื้นที่ในจังหวัดได้แก้ไขโดยการพัฒนาครูในหลายรูปแบบ ทั้งการศึกษาทางอินเตอร์เน็ต การประชุมอบรม ส่งเสริมให้ครูได้ทำนวัตกรรมการเรียนการสอนควบคู่กับการทำวิจัย บางโรงเรียนได้จัดหาทุนสำหรับจ้างบุคลากรมาจากที่อื่นมาช่วยสอน   รัฐบาลก็ได้แก้ปัญหาในระดับหนึ่งโดยการจัดให้มีการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม  เรื่องการพัฒนาการเรียนการสอนยังได้รับความร่วมมือจาก ม.ราชภัฎลำปาง ทำโครงการพัฒนาการเรียนการสอนและสื่อนวัตกรรมอีกหลายโครงการ ถือว่าลำปางโชคดี

หากมองถึงการบริหารงานของผู้อำนวยการโรงเรียน  คุณภาพของผู้บริหารโรงเรียน ถ้ามองโดยส่วนใหญ่อยู่ในคุณภาพที่ดี ซึ่งลำปางผ่านการประเมินในเรื่องของความสามารถด้านการบริหารจัดการมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน แต่อาจจะมีบ้างบางส่วนที่ยังมีปัญหาอยู่  สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นในโรงเรียน 2 แห่งที่เกิดการประท้วงขับไล่ผู้บริหารขึ้น ซึ่งผู้บริหารของทั้งสองโรงเรียนเป็นคนมีความสามารถ มีคุณภาพ  แต่ต้องศึกษาให้ลึกว่าเหตุเกิดเพราะอะไร  อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องมายาวนาน  

นายสมบัติ กล่าวต่อไปว่า  สำหรับโรงเรียนผดุงวิทย์ เป็นกรณีของหลวงพ่อเจ้าอาวาสผู้ได้รับใบอนุญาต ซึ่งท่านมีปัญหาเรื่องสุขภาพจึงได้ให้คนที่ไว้วางใจเข้ามาช่วยงาน เมื่อคนนอกเข้ามาทำงานในองค์กร โดยไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆในนั้น เป็นธรรมชาติที่คนในองค์กรจะไม่พึงพอใจ เมื่อครูเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่ส่งเสริมให้นักเรียนได้รับสวัสดิการที่ดี จึงเกิดการเรียกร้องให้คนไม่เกี่ยวข้องถอยออกไป  ทุกวันนี้คิดว่าได้แก้ไขปัญหากันเรียบร้อยแล้ว โดยการประสานงานของหลายฝ่ายทั้ง สพป.ลำปางเขต 1  ศูนย์ดำรงธรรม  มทบ.32   สนง.พระพุทธศาสนาลำปาง

ด้านโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารี  ผู้บริหารหญิงของโรงเรียนเป็นคนเก่ง มีความสามารถทางด้านวิชาการสูง  มุ่งมั่นที่จะยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนให้สูงขึ้น ซึ่งการบริหารการศึกษามีหลายตัวแปรที่จะทำให้เดินหน้าไปได้ บุคลากรก็เป็นตัวแปรหนึ่งที่สำคัญ  ซึ่ง ผอ.ยังไม่สามารถประสานความสัมพันธ์ของบุคลากรในโรงเรียนให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้  กิจกรรมบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงเชื่อว่า ผอ.มีเหตุผล แต่ทำให้ทางบุคลากรและนักเรียนมีความรู้สึกว่าแย่ลง  โดยทางเด็กนักเรียนไม่ได้กล่าวหาว่า ผอ.ทุจริต เพียงแต่เด็กไม่เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น และ ผอ.ก็ไม่ได้มีการชี้แจงให้เด็กเข้าใจ จึงเกิดความไม่พอใจกันขึ้นจนถึงการประท้วง ทาง สพป.เขต 1 ก็ได้ไปร่วมรับทราบปัญหา ช่วยดูแล และเก็บข้อมูลรายงานให้ทางสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพฐ.)ทราบ  ในที่สุดก็แก้ปัญหากันได้โดยทาง สพฐ.ได้ส่ง ผอ.สำนักการศึกษาพิเศษมาแก้ปัญหาร่วมกัน  เนื่องจากไม่มีหน่วยงานที่สูงกว่าในระดับจังหวัด  และได้รับปากว่าจะย้าย ผอ.ท่านนี้ออกไปเรื่องจึงยุติได้

เมื่อสอบถามถึงสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว  นายสมบัติ แสดงความคิดเห็นว่า เรื่องสำคัญคือการสร้างความเข้าใจ การสร้างทีมงาน  ผู้บริหารบางท่านอาจจะเก่งในด้านในด้านหนึ่ง แต่ถ้าบริหารจัดการคนไม่เก่งก็จะเกิดปัญหาขึ้นได้  ซึ่งปัญหาส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดเรื่องขึ้นก็คือเรื่องของความรู้สึก ตามจริงแล้ว ผอ.โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีก็ไม่ได้มีความผิดในเชิงระเบียบกฎเกณฑ์ ความซื่อสัตย์ก็น่าเชื่อถือได้ ด้านศีลธรรมจริยธรรมก็ไม่มีปัญหาด้านนี้  แต่การที่ไม่พูดคุยกับบุคลากรและนักเรียน หรือการใช้คำพูดไม่เหมาะสมขัดกับความรู้สึกของครูและนักเรียน จึงทำให้เกิดปัญหา เมื่อสะสมมากขึ้นก็ทำให้ภายในองค์กรเกิดการแตกหักขึ้นได้ เนื่องมาจากความไม่เข้าใจกัน   เรื่องบุคลากรก็มีส่วนในการเกิดปัญหา ซึ่งเมื่อ ผอ.เข้ามาบริหารงานก็อาจจะมีบุคลากรบางคนได้รับผลกระทบทางด้านผลประโยชน์ เช่น เรื่องการทำงานเมื่อก่อนอยู่สบายเกินไป แต่พอ ผอ.เข้ามาเร่งรัดเรื่องคุณภาพการสอนก็ต้องรีบเร่งทำงานมากขึ้น อาจจะเป็นเรื่องจริง  ลำพังครูก็คงไม่ทำให้เด็กลุกฮือขึ้นมาถึงขนาดนี้ได้ จะต้องมีเหตุที่กระทบไปถึงในส่วนของนักเรียนด้วย  ผอ.สพป.เขต 1 กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามต่อไปว่าคิดว่าการกระทำของเด็กเป็นพฤติกรรมลอกเลียนแบบหรือไม่    ผอ.สพป.เขต 1 กล่าวว่า  ไม่ใช่การลอกเลียนแบบ เด็กทั้งสองโรงเรียนไม่มีการเชื่อมโยงกัน หากมองไปที่โรงเรียนผดุงวิทย์การเริ่มต้นจะเกิดจากผู้ใหญ่ ซึ่งมีครูร่วมเป็นผู้นำ ส่วนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ เป็นการเริ่มต้นของกลุ่มนักเรียน แต่ครูจะเข้ามาสนับสนุนภายหลัง  แต่เด็กก็สามารถเรียนรู้ในเรื่องราวลักษณะเช่นนี้ได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น อินเตอร์เน็ต โทรทัศน์ การติดตามข่าวสารต่างๆ  มองในแง่ดีก็เป็นการแสดงออกในการเรียกร้องสิทธิที่ถูกที่ควรหากไม่ได้สร้างความรุนแรง  หากเห็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ต้องเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งมีวิธีทำได้หลายทาง เช่น แจ้งให้ผู้ที่มีอำนาจเข้าไปแก้ปัญหา  เมื่อไม่ได้รับการแก้ไขก็มีการรวมกลุ่มกัน แต่ไม่แสดงความก้าวร้าว  เด็กโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีโดยรวมแล้วก็ไม่ได้ก้าวร้าว  ดูแล้วเป็นการแก้ปัญหาพัฒนาการของสังคม  หากไม่มีเรื่องนี้เกิดขึ้นเด็กก็อาจจะสะสมความไม่เข้าใจ ความรู้สึกกดดัน ที่แสดงออกแบบนี้ ดีกว่าไปแสดงออกในด้านอื่นที่เป็นด้านลบมากกว่า  ผู้นำนักเรียนถือว่าเป็นเด็กที่มีความรู้ความสามารถ การพูดจาแสดงความสมเหตุสมผลได้ดีมาก

นายสมบัติ ยังได้กล่าวแสดงข้อแนะนำไปยังผู้บริหารด้วยว่า  ในส่วนของ ผอ.โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตต์อารีเป็นคนดีและมีความตั้งใจสูงในการพัฒนาโรงเรียน แต่ก็มีข้อไม่สมบูรณ์ในเรื่อง การชี้แจงทำความเข้าใจ  การไม่พัฒนาทีมงาน เรื่องความขัดแย้งของบุคลากรในองค์กรนั้น เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกแห่ง หากมีสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้นในโรงเรียนก็มักจะมีกลุ่มหนึ่งที่ไม่ยอมรับ แต่ถ้ามีการชี้แจง ให้ความเป็นธรรม และให้เหตุผลว่าทำไปเพราะสาเหตุใด คนที่ไม่ยอมรับก็คงไม่มีพลังพอที่จะลุกขึ้นมาต่อต้านได้  จะไปโทษว่าบุคลากรไม่ดีก็ถือว่าไม่ถูกต้อง เพราะทางผู้บริหารเองที่ต้องมีหน้าที่ในการพัฒนาบุคลากรในองค์กรของตัวเองให้ได้ หากพบว่าสิ่งใดไม่ดีก็ต้องมีการแก้ไข มีเทคนิควิธีการในการบริหาร มีการเปิดโอกาสให้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น อาจจะในรูปแบบของการประชุมสัมมนา  เรื่องราวต่างๆที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ใช่สั่งการเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องทำความเข้าใจและให้บุคลากรช่วยกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา ทำการวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งขององค์กรร่วมกัน เพื่อให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมาย และให้เกิดการพัฒนาด้านการศึกษาและบุคลากรให้ทันตามโลกในยุคปัจจุบัน

เรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆแล้ว ผอ.ต้องไปชี้แจงกับเด็กด้วยตนเอง ไม่ควรหนีปัญหา ควรรับฟังความคิดเห็นของเด็กด้วย  สิ่งที่สำคัญในการจะอยู่ร่วมกันได้ง่ายๆ 3 ข้อ  ประกอบด้วย เข้าใจ คือ ต้องศึกษาวิเคราะห์  เข้าถึง คือ ให้ทุกคนรับทราบถึงปัญหา  พัฒนา คือ ทำให้เกิดการพัฒนาร่วมกันได้

สำหรับเหตุการณ์นักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ ออกมาขับไล่นางสุรางค์ วิสุทธิสระ ผอ.โรงเรียน ได้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 ม.ค.58 ที่ผ่านมา โดยทางนักเรียนได้ร่างหนังสือถึงความไม่พอใจในการกระทำของ ผอ.โรงเรียน มากถึง 24 ข้อ  เช่น  ไม่มีงบประมาณด้านการเรียนการสอน  ไม่สนใจนักเรียน สร้างแต่อาคาร  ห้องน้ำไม่เพียงพอ  ของใช้ในเรือนนอนเสียเก็บเงินนักเรียนซ่อม  นักเรียนไม่สบายไม่ยอมให้ไปโรงพยาบาล  ลดปริมาณของใช้ประจำเดือน   ไม่รับฟังความคิดเห็นนักเรียน   ไม่ประหยัดไฟทั้งที่บอกให้นักเรียนประหยัด ไม่รับนักศึกษาฝึกสอน  ส่งเสริมให้เรียนวิชาพฤกษศาสตร์แต่ตัดต้นไม้ในโรงเรียนทิ้ง ถมสระทำลายระบบน้ำเสีย เป็นต้น  ทางด้านนายประภาส อึ้งตระกูล ป้องกันจังหวัดลำปาง ได้เดินทางมาเจรจากับเด็กนักเรียนเพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าวไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งทางกลุ่มนักเรียนยินยอมสลายตัวกลับไปเรียนตามปกติ  แต่ทางกลุ่มนักเรียนก็ได้ออกมารวมตัวกันอีกครั้งในวันที่ 27 ม.ค.58  เพื่อขับไล่ผอ.โรงเรียน ให้ได้  หลังจากช่วงเย็นวันที่ 26 ม.ค. นางสุรางค์ วิสุทธิสระ  ผอ.โรงเรียนได้ไปรับตัวผู้ปกครองของแกนนำนักเรียนมาที่โรงเรียน และให้นำตัวเด็กนักเรียนชั้น ม.6 ที่เป็นแกนนำกลับบ้านไปก่อน จึงทำให้เด็กเกิดเสียความรู้สึกที่ทางผู้บริหารโรงเรียนรับปากว่าจะไม่ลงโทษใดๆ แต่กลับแจ้งเรื่องให้ผู้ปกครองทราบ จึงยืนยันจะให้ ผอ.ย้ายออกจากโรงเรียนโดยเร็วที่สุด

กระทั่งเวลา 17.30 น.วันที่ 27 ม.ค.58 นายพะโยม ชิณวงศ์ ผอ.สำนักบริหารการศึกษาพิเศษ เดินทางมาที่โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์จิตอารีย์ฯ ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง เพื่อรับฟังปัญหาของนักเรียน  โดยได้ร่วมประชุมกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น ป้องกันจังหวัด ผอ.สำนักพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต 1  รอง ผบ.มทบ.32 ค่ายสุรศักดิ์มนตรี  เจ้าหน้าที่ตำรวจ และรอง ผอ.โรงเรียน เพื่อร่วมกันหาทางออก  และได้รับฟังปัญหาจากตัวแทนนักเรียน จากนั้นนายพะโยมได้รับปากว่าจะแก้ปัญหาตามที่นักเรียนร้องขอ คือย้าย ผอ.โรงเรียน ภายในวันที่ 28 ม.ค.58  ซึ่งกลุ่มนักเรียนต่างดีใจพากันปรบมือ และพร้อมใจกันกล่าวขอบคุณ

นายพะโยม ชิณวงศ์  กล่าวว่า หากไม่มีการย้าย ผอ.ออกไป ผอ.ก็อยู่ที่นี่ลำบาก เพราะเด็กเกิดความไม่ศรัทธาไปแล้ว ซึ่งต้องดูแลให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการทำผิดร้ายแรง แต่เป็นเรื่องของความรู้สึกมากกว่า ในส่วนที่รับกันไม่ได้แล้วก็ต้องแก้ปัญหา โดยการเปลี่ยนผู้บริหาร

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   
 



Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์