วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ก้อนกรวดในรองเท้า




  างคราวที่มีโอกาสไปให้ข้อมูลกับคณะทำงานปฏิรูปสื่อ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.).ทำให้เข้าใจได้ว่า การผลักดันเรื่องการปฏิรูปสื่อที่ดูคล้ายแม่น้ำแยกสาย ไผ่แยกกอนั้น มาจากฐานคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สื่อบ้านนอก อาจจะยังไม่ร้อนหนาวกับเรื่องนี้มากนัก เพราะอิทธิพลของทหารในท้องถิ่นซึ่งไม่แน่ใจนักว่าได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่กำกับ ดูแลสื่อในระดับใด หรือสำคัญผิดว่าจะต้องบังคับให้สื่อโดยเฉพาะสื่อวิทยุกระจายเสียงต้องออกอากาศรีรันเดินหน้าประเทศไทย หรือรายการที่ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรากฏตัวในสื่อ แต่หากพิจารณาภาพใหญ่ของสื่อไม่ว่าอยู่ในภูมิภาคไหน มรดกเผด็จการที่ คสช.ทิ้งไว้ ในรูปประกาศ คสช.บางฉบับ จะเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพของสื่อซึ่งก็หมายถึงเสรีภาพของประชาชนในระยะยาวอย่างแน่นอน

เมื่อ สปช.ฝ่ายหนึ่งเข้าใจเพียงการปกป้องและรักษาฐานที่มั่นของสื่อภาครัฐ หรือการรักษาไว้ซึ่งอำนาจและผลประโยชน์เดิม ขณะที่อีกฝ่ายมองไปถึงการปฏิรูปในเชิงโครงสร้าง ด้วยความเข้าใจบริบทที่เปลี่ยนไป และเห็นว่าประเด็นเรื่องเสรีภาพ เป็นสาระสำคัญที่ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา ความสับสนวุ่นวายก็เกิดขึ้น

สุดท้ายปลายทางบทสรุปของการปฏิรูปสื่อ อาจยังต้องลากกฎหมายเผด็จการที่ออกในนาม คสช.บางฉบับไปด้วย และกว่าจะยกเลิกได้ต้องใช้เวลานานกว่า 20 ปี เช่นเดียวกับ ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42

ผมได้เห็นความพยายามของตัวแทนสื่อใน สปช.เช่น คุณประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย  ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้มีการยกเลิก ประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายอย่างไม่เป็นทางการไปจากองค์กรสื่อ แต่จนถึงขณะนี้ ประกาศทั้งสองฉบับก็ยังคงอยู่  และหายไปพร้อมๆกับประเด็นการปฏิรูปสื่อที่หลากหลายมากขึ้น มีการโต้แย้งกันมากขึ้น

ความคิดที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าธงคือการปฏิรูปสื่อ ปฏิรูปเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนโดยผ่านบทบาทสื่อ  สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่ผลประโยชน์ส่วนตัวและการรักษาอำนาจ การมีอยู่ของประกาศฉบับที่ 97 และ 103 คือการรักษาอำนาจเบ็ดเสร็จของ คสช.ซึ่งผิดกาลเทศะ เมื่อสถานการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลายสู่ความเป็นประชาธิปไตย 

ความที่กำหนดในประกาศฉบับที่ 97 ห้ามไม่ให้บุคคล รวมทั้งบรรณาธิการ พิธีกร สื่อมวลชน และเจ้าของกิจการสื่อสิ่งพิมพ์ รายการโทรทัศน์และรายการวิทยุ เชิญคนหรือกลุ่มคนที่เป็นนักวิชาการ หรือคนที่เคยเป็นข้าราชการ รวมทั้งผู้ที่เคยปฏิบัติงานในศาลและกระบวนการยุติธรรม ตลอดจนองค์กรอิสระ มาให้สัมภาษณ์หรือแสดงความคิดเห็น ในลักษณะที่อาจก่อให้เกิด หรือขยายความขัดแย้ง บิดเบือน และสร้างความสับสนให้กับสังคม นำไปสู่การใช้ความรุนแรง

ในขณะเดียวกัน ในประกาศฉบับที่ 103 พูดถึงการวิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของ คสช.โดยมีเจตนาไม่สุจริต เพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของ คสช.ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ

เรื่องหลังนี้ คสช.ได้มีหนังสือให้สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สอบสวนข้อเท็จจริงกรณีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการสุดสัปดาห์ เสนอบทความที่กระทบต่อความน่าเชื่อถือของ คสช.แล้ว ผลการสอบสวนไม่พบความผิด

ส่วนเรื่องข้อห้ามในประกาศฉบับที่ 97 ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทุกสื่อยังคงฝ่าฝืนประกาศฉบับนี้ แต่การนำบุคคลต้องห้ามมาให้ความคิดเห็น อีกทั้งปัญหาการตีความเรื่องการแสดงความคิดเห็นที่บิดเบือน สร้างความสับสน จนนำไปสู่ความรุนแรงนั้น ก็ยังคงเป็นปัญหาในอนาคต เพราะการตีความที่ต่างกัน  นั่นเท่ากับเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร สามารถสั่งห้ามหรือระงับการเชิญบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ ต่อ คสช.ได้ เป็นปัญหาการคุกคามและแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชน

ข้อห้ามในประกาศทั้งสองฉบับ ถูกกำหนดขึ้นในช่วงสถานการณ์ล่อแหลม หลังยึดอำนาจใหม่ๆ การกุมสภาพข้อมูลข่าวสารอย่างเบ็ดเสร็จจึงเป็นความจำเป็น ซึ่งในแง่อำนาจรัฐ คสช.ก็ยังยึดครองพื้นที่สาธารณะในลักษณะผูกขาดสื่อต่อเนื่องมาจนวันนี้ ในรูปของทีวี คสช. แต่เมื่อการรับรู้ความมีอยู่ของ คสช.เป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว ความจำเป็นที่จะต้องตอกย้ำอำนาจในการกำกับ ควบคุมสื่อ โดยผ่านประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องพิจารณาอีก

อย่าให้ ประกาศทั้งสองฉบับ กลายเป็นก้อนกรวดในรองเท้า ที่สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ สร้างความพะรุงพะรังให้กับการปฏิรูปสื่อโดยไม่จำเป็นเลย 

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1014 ประจำวันที่ 30 มกราคม  -  5  กุมภาพันธ์ 2558)   



Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์