วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ไล่5ครูผดุงวิทย์ พระจ่ายชดเชยรอสช.ชี้ผิด




ครูและผู้ปกครองกว่า 100 คน รวมตัวขอพบเจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง หลังไล่ครูโรงเรียนผดุงวิทย์ออก 5 คน  ข้อหาผิดวินัยร้ายแรงกรณีนำกลุ่มครู นักเรียนประท้วง  หลายหน่วยงานร่วมเข้าไกล่เกลี่ย ทั้งสองฝ่ายจึงยอมทำบันทึกข้อตกลง โดยให้พระครูประภัศร์บุญกิจผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนผดุงวิทย์  สำรองจ่ายเงินเดือนให้แก่ครูทั้ง 5 จนกว่าสำนักงาน คณะกรรมการ ส่งเสริมการ ศึกษาเอกชน (ส ช.จะชี้มูลว่าผิดหรือไม่ ระหว่างนี้ห้ามครูทั้ง 5 เข้ามาก่อกวนและสร้างความแตกแยก ขณะที่ผู้ปกครองยังจี้ให้ตอบคำถามเรื่องเงินออมของนักเรียนที่หายไปหลายล้านบาท

เมื่อวันที่ 19 มิ..58 พระครูประภัศร์บุญกิจ เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง และผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนผดุงวิทย์(วัดศรีบุญเรืองมีหนังสือคำสั่งโรงเรียนผดุงวิทย์(วัดศรีบุญเรือง)ที่ 49/2558 เรื่องลงโทษครูและบุคลากรทางการศึกษาพ้นจากเจ้าหน้าที่ จำนวน 5 คน คือ นายนราดรณ์ วงค์สวัสดิ์  นายสัมฤทธิ์ แสงคำ  นายอนันต์ เครือคำขาว  นางอุไรวรรณ ส่วนสมพงษ์  และนางนิตยา คำเขื่อน  ในข้อกล่าวหากระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีได้ร่วมกันทำเป็นขบวนการด้วยการชักชวนกลุ่มผู้ปกครองคณะครู  ลูกจ้าง และนักเรียนระดับมัธยม ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่พระครูประภัศร์บุญกิจ ในฐานะผู้รับใบอนุญาต เมื่อวันที่ 16 ..57 ที่ผ่านมา  พระครูประภัศร์บุญกิจจึงมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เมื่อวันที่ 4 มิ..58 และผลการสอบสวนให้ลงโทษแกนนำทั้ง 5 คนให้พ้นจากหน้าที่ นับแต่วันที่ 19 มิ.. 58 เป็นต้นไป ทางกลุ่มครูแกนนำ 5 คน พร้อมด้วยครูอีก 70 กว่าคนจึงได้รวมตัวกันมาเพื่อขอคำชี้แจง แต่เจ้าอาวาสไม่ยอมออกมาเจรจา

นายนราดรณ์ วงค์สวัสดิ์ หนึ่งในครูทั้ง 5 คน ที่ถูกสั่งพ้นสภาพการเป็นครูและบุคลากร กล่าวว่า การที่กลุ่มครูออกมาเรียกร้องในวันนี้ เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกตนถูกตั้งข้อกล่าวหาและถูกปลดโดยไม่เคยเรียกสอบสวนครูมาก่อน  ทั้งที่ได้มีการบันทึกข้อตกลงว่าจะไม่มีการเอาผิดครูทั้งหมด แต่ก็ยังมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น โดยใช้คนของตัวเองมาเป็นคณะกรรมการสอบสวน และสั่งไล่ออกพวกตนทั้ง 5 คน  โดยการส่งจดหมายอีเอ็มเอสมาแจ้งที่บ้าน  เรื่องการสั่งปลด ลงนามโดยพระครูประภัศร์บุญกิจ อีกทั้งยังส่งจดหมายไปถึงภรรยาของตนเองที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่เทศบาลนครลำปางด้วย  ซึ่งภรรยาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด  ยิ่งเป็นการสร้างความแตกแยกให้กับครอบครัวของตน

นายสัมฤทธิ์ แสงคำ  ครูอีกคนหนึ่ง กล่าวว่า ทำงานสอนที่โรงเรียนนี้มา 30 ปีแล้วไม่เคยมีปัญหามาก่อน ตอนนี้ครูทั้งหมด 70 กว่าคน ต้องการการรับรองว่าจะไม่มีการไล่ออก ขอให้เจ้าอาวาสยกเลิกคำสั่งไล่ออกครูทั้ง 5 คน เนื่องจากเป็นการออกคำสั่งโดยไม่ชอบ เพราะเจ้าอาวาสไม่มีใบประกอบวิชาชีพครูที่จะสามารถตั้งคณะกรรมการสอบสวนได้ ขอให้ความเป็นธรรมกับฝ่ายครูด้วย

นอกจากนี้กลุ่มผู้ปกครองยังกล่าวว่าคณะผู้บริหารฝ่ายการเงินนำเงินสะสมของเด็กนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลจนถึงชั้น ม.3 ไปใช้จ่ายแบบผิดวัตถุประสงค์ ทำให้เงินขาดหายไปประมาณ 4 ล้านบาทโดยไม่มีการชี้แจงใดๆทั้งสิ้น ทั้งที่กลุ่มผู้ปกครองของเด็กนักเรียนพยายามทวงถามหากลักฐานเพื่อขอตรวจสอบการใช้เงิน

ต่อมาทางพ...จีระเดช จันทร์อ่อน สวป.สภ.เมืองลำปาง เจ้าหน้าที่ทหาร มทบ.32 ลำปาง ได้เชิญแกนนำครูทั้งหมด มาพูดคุยหาข้อสรุปในเบื้องต้น ที่ห้องประชุมของโรงเรียน แต่ทางพระครูประภัศร์บุญกิจ ไม่ยอมลงมาพบปะพูดคุยในการแก้ปัญหาดังกล่าว กระทั่งในช่วงบ่าย นายกิติพัฒน์  กะวัง ป้องกันจังหวัดลำปาง ได้เข้ามาเป็นตัวกลางเจรจากับเจ้าอาวาส ขอให้ยกเลิกคำสั่งไล่ออกครู 5 คนชั่วคราวก่อน แต่ทางเจ้าอาวาสยืนยันว่าได้ทำถูกต้องจึงไม่ขอยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจึงนัดให้ไกล่เกลี่ยเพื่อหาทางออกอีกครั้ง ในวันที่ 24 มิ.. 58 โดยครูทั้ง 5 คนที่ถูกไล่ออก ได้ทำเรื่องส่งไปยัง มทบ.ที่ 32 ลำปาง เพื่อขอให้ฝ่ายทหารออกหน้าและบังคับใช้อำนาจพิเศษมาตรา 44 ให้ผู้รับใบอนุญาตออกมาเจราจากับอดีตครูทั้ง 5 คน

ต่อมาวันที่ 24 มิ..58 ตั้งแต่เวลา 09.00 .เจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ประกอบด้วย นายกิติพัฒน์ ทะวัง ป้องกันจังหวัดลำปาง พ..ปรเมศร์ อุดมสินค้า รองเสนาธิการ มทบ.32 ลำปาง นายอุบลพันธ์ ขันผนึก ผอ.สำนักพุทธฯ พ...นิคม เครือนพรัตน์ ผกก.สภ.เมืองฯ นายสมบัติ สุทธิพรมณวัฒน์ ผอ.สพปลป.เขต 1 รวมทั้ง ผอ.และผู้แทนจากสถานศึกษาเอกชนลำปาง สมาคมสถานศึกษาเอกชน และสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้เดินทางมาพูดคุยกับอดีตครูและคณะครูอีกประมาณ 20-25 คนที่มีความกังวลใจว่าตัวเองก็กำลังจะถูกไล่ออกเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดได้รอเจ้าหน้าที่อยู่ที่ลานหน้าอาคารที่ทำการในวันศรีบุ­เรือง

..ปรเมศร์ อุดมสินค้า รองเสนาธิการทหารฯ ได้กล่าวว่า การที่จะให้ฝ่ายทหารออกมาบังคับใช้มาตรา 44 บังคับให้ผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนผดุงวิทย์ (วัดศรีบุญเรืองมาพบประกับผู้ร้องเรียนนั้นไม่สามารถกระทำได้ เนื่องจากมาตรา 44 เป็นอำนาจพิเศษที่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีเหตุร้ายแรงต่อประเทศชาติหรือมีการกระทำการที่รุนแรงต่อสังคมส่วนรวมเท่านั้น แต่ในกรณีนี้ถือว่าเป็นเพียงข้อพิพาทระหว่างผู้รับใบอนุญาตของโรงเรียนกับกลุ่มครูที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นข้อพิพาทในส่วนเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในกลุ่มคนกลุ่มเดียวกันจึงไม่สามารถจะนำมาตรา 44 มาบังคับให้ผู้รับใบอนุญาตออกมาพบหรือเจรจากับกลุ่มครูได้  แต่หน่วยงานที่มากันในวันนี้ก็เพื่อที่จะมารับฟังปัญหาความเดือดร้อนของอดีตครูที่คิดว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม จะมาพูดคุยกันเพื่อหาทางออกที่เหมาะที่ควร

จากนั้นทั้งหมดจึงได้เข้าไปพูดคุยกันในอาคารที่ทำการของโรงเรียนฯ โดยทางฝ่ายของครูที่ถูกไล่ออกได้ผลัดกันเล่าเหตุการณ์ที่มาที่ไปของเรื่องทั้งหมดให้กับฝ่ายผู้รับเรื่องและยังคงยืนยันอยู่ตลอดเวลาว่าจะขอพูดคุยกับพระครูประภัศร์บุญกิจ ผู้รับใบอนุญาตให้ได้ เพื่อสอบถามถึงสาเหตุที่กระทำผิดสัญญาไล่พวกตนออกจากการเป็นครู ทั้งที่เคยตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยพยายามให้ฝ่ายปกครองขึ้นไปตามพระครูประภัศร์บุญกิจลงมาจากกุฏิให้ได้  โดยอดีตครูทั้ง 5 คน ได้หยิบยกเอาความเดือนร้อนในครอบครัวขึ้นมากล่าวอ้าง และขอให้ฝ่ายบ้านเมืองที่มารับทราบปัญหาเป็นตัวกลางขอให้ทางผู้รับ ใบอนุญาตช่วยผ่อนปรนให้ทุกคนกลับเข้ามาสอนหนังสือต่อไป  และยังต้องการให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบด้วยว่า พระครูประภัศร์บุญกิจ มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตได้หรือไม่  เนื่องจากในข้อกฎหมายแล้วผู้ที่จะได้รับใบอนุญาตประกอบการในสถานศึกษาเอกชนได้นั้นจะต้องเคยผ่านเป็นครูมาก่อน แต่ในกรณีของพระครูประภัศร์บุญกิจกลับไม่พบว่าเคยผ่านการเป็นครูมาก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการผิดระเบียบอย่างร้ายแรงเช่นกัน  นอกจากนี้ทางคณะผู้บริหารโรงเรียนยังบริหารงานอย่างไม่โปร่งใสอีกด้วย กล่าวคือ นำเอาเงินอุดหนุนที่ทางรัฐบาลโอนมาให้ไปใช้แบบผิดวัตถุประสงค์  อีกทั้งยังไม่มีเอกสารหรือชี้แจงใดๆทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้พวกเราได้ยื่นเรื่องให้ทาง สตง.เข้ามาตรวจสอบแล้วเช่นกัน

ด้าน นายสมบัติ สุทธิพรมณวัฒน์ ผอ.สพปลป.เขต 1 ได้กล่าวว่า ในส่วนนี้ทางเราทั้งยินดีที่จะตรวจสอบให้แต่ต้องขอเวลาสักระยะหนึ่งจึงจะตอบได้ว่าท่านผิดจริงหรือไม่ อย่างไร ส่วนในกรณีที่มีการร้องเรียนไปยังสตง.ให้ตรวจสอบการใช้เงินหรืองบอุดหนุนจากรัฐฯนั้น เบื้องต้นทาง สตง.ก็มีรายงานออกมาแล้วส่วนหนึ่งว่า อาจจะมีการนำเงินไปใช้แบบผิดประเภทแต่จะไม่ขอพูดในที่นี้เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน รอให้ทาง สตง.ส่งคำชี้แจงมาให้ครบถ้วนเสียก่อน จึงจะสามารถชี้แจงให้ทุกคนให้รับทราบได้ ส่วนที่ทางอดีตครูต้องการจะขอกลับมาสอนนั้น ทางเราก็ยังคงไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้เท่าที่ควร เพราะทางผู้รับใบอนุญาตได้มีหนังสือส่งถึงครูทั้ง 5 คน ตามการพิจารณาของคณะกรรมการแล้ว เราก็คงเข้าไปยุ่งเกี่ยวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องภายใน แต่หากทุกคนคิดว่าผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนผดุงวิทย์กระทำความผิดหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ถูกไล่ออก ตนเองก็แนะนำได้เพียงว่า ให้ครูทั้ง 5 คน ให้รวบรวมเอกสารหลักฐานต่างๆ ไปแจ้งความเอาไว้เป็นหลักฐานก่อน  จากนั้นจึงส่งเรื่องมาให้ทางผู้เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานสถานศึกษาเอกชน หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆให้ตรวจสอบ และเมื่อผลสอบที่ออกมาหากพบว่าครูทั้ง 5 คนไม่ผิดตามข้อกล่าวหาทุกคนก็จะได้กลับเข้ามาสอนหนังสือตามเดิม  แต่หากทางผู้รับใบอนุญาตยังคงยืนกรานที่จะให้ทุกคนออกจากการเป็นครู ทางโรงเรียนก็จะต้องจ่ายเงินเดือนให้กับทุกคนตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาพอสมควรแต่ก็คงจะไม่นานมากนัก เพราะเราจะเร่งตรวจสอบให้ได้ผลสรุปให้เร็วที่สุด  เพราะไม่ต้องการให้เรื่องยืดเยื้อและเข้าใจในความเดือดร้อนของทุกคน

ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่มีการพูดคุยกันนั้น ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบจาก สภ.เมืองลำปาง กว่า 30 นาย กระจายกำลังคอยรักษาความสงบอยู่โดยรอบบริเวณที่ประชุม รวมทั้งทางขึ้นกุฏิของพระครูประภัศร์บุญกิจ เจ้าอาวาสและผู้รับใบอนุญาตฯ ซึ่งตลอดเวลาเก็บตัวอยู่แต่ในกุฏิโดยมีชายร่างใหญ่ซึ่งเป็นทั้งญาติโยมที่ชาวบ้านที่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อคอยคุ้มกันอยู่หน้าห้องอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งทางผู้สื่อข่าวได้พยายามที่จะขอเข้าพบเพื่อสอบถามถึงเรื่องทั้งหมด แต่ก็ได้รับการปฏิเสธจากผู้ดูแลของหลวงพ่อ โดยอ้างว่าขณะนี้สุขภาพของพระครูประภัศร์บุญกิจไม่ดีนัก จึงจะขอพักผ่อนและไม่ให้ใครรบกวน

ส่วนด้านหน้าของกุฏินั้นก็นั้นยังคงมีกลุ่มครูและผู้ปกครองอีกเป็นจำนวนมากที่มารอให้กำลังใจกับอดีตครูที่ถูกไล่ออกพร้อมกับรอสอบถามความคืบหน้าของการเจรจาและยังมีผู้ปกครองอีกส่วนหนึ่งที่ต้องการจะมาสอบถามถึงเรื่องเงินสะสมของเด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาชั้น ม.3 ที่ต้องจ่ายเงินสะสมให้กับทางโรงเรียนทุกเดือนแต่มาทราบภายหลังว่าเงินที่ผู้ปกครอบจ่ายให้มานั้น ทางผู้บริหารโรงเรียนนำไปใช้แบบผิดวัตถุประสงค์เช่นกัน โดยไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินให้ตรวจสอบ  ผู้ปกครองทั้งหมดจึงเกิดความแคลงใจว่า หากเด็กจบไปหรือลาออก จะได้รับเงินสะสมส่วนนี้กลับไปด้วยหรือไม่ เพราะเท่าที่ทุกคนทราบมา เงินสะสมในส่วนนี้จะต้องมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 6-7 ล้านบาท แต่ในขณะนี้ทราบว่ามีอยู่ไม่ถึง 4 ล้านบาทเท่านั้น  ดังนั้นเงินที่ขาดหายไป หายไปไหน และใครจะเป็นคนมาชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบ  เมื่อทางเจ้าอาวาสไม่ยอมลงมาพูดคุยกับกลุ่มครู จึงได้นำแผงเหล็กไปกั้นปิดถนนด้านหน้าวัด พร้อมกับนำกระดาษเขียนข้อความ ความยุติธรรมไม่มี

ทางเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจ จึงต้องขอขึ้นไปพูดคุยเจรจาบนกุฏิ  และขอให้ครูทั้ง 5 คนขึ้นไปเจรจาร่วมกันเพื่อยุติปัญหาดังกล่าว จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายยินยอมทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน โดยมีพันเอกสาธิต ศรีสุวรรณ ตัวแทนฝ่ายทหาร และพันตำรวจเอกนิคม เครือนพรัตน์ ผู้แทนฝ่ายตำรวจ ร่วมเป็นพยาน

สำหรับข้อตกลงร่วมกัน 3 ข้อ คือ  1. กรณีครูทั้ง พ้นจากสภาพจากความเป็นครูนั้น ทางผู้รับใบอนุญาตโรงเรียน จะช่วยสำรองเงินที่ครูควรได้รับตามสิทธิ์ที่ได้รับเงินเดือนตามปกติจนกว่าสำนักงาน คณะกรรมการ ส่งเสริมการ ศึกษาเอกชน (ส ช.) ชี้มูลว่าการสอบสวนทางวินัยของครูทั้ง 5 ผิดหรือไม่  2. ครูทั้ง 5 คน ห้ามเข้ามาก่อกวน หรือก่อให้เกิดความแตกแยก และ 3. ครูที่เข้าร่วมปราศรัยในการประท้วงที่ผ่านมาให้สามารถสอนได้ตามปกติ โดยไม่ให้เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการบริหารงานที่จะก่อให้เกิดความแตกแยก ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นการยินยอมจากทั้ง 2 ฝ่าย   พร้อมกับสั่งให้มีการหยุดเรียน 2 วัน เพื่อคลี่คลายปัญหา โดยเปิดเรียนปกติในวันที่ 29 มิ..58

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1034 วันที่ 26 มิถุนายน - 2 กรกฏาคม 2558)
Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์