มีคนเคยกล่าวไว้ว่า
“ร้านหนังสือเป็นหลักฐานที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ที่บอกให้รู้ว่า
มนุษย์นั้นยังคิดอยู่”
สำหรับประเทศไทยมีร้านหนังสือหลายร้าน
แต่ส่วนใหญ่เป็นร้านแบบ Chain
Store รายใหญ่เพียง 2-3 ราย ทำให้ช่องทางการจัดจำหน่ายของสำนักพิมพ์ขนาดเล็กถูกบีบด้วยค่าใช้จ่ายในการจัดการจากร้านหนังสือ Chain Store โอกาสที่หนังสือดีๆ
จากสำนักพิมพ์เล็กๆ จะได้ไปวางขายในร้านใหญ่จึงมีน้อยมาก ยังไม่นับว่าการบริการที่แสนจืดชืดและเฉยชาของร้านใหญ่
ซึ่งไม่เหมือนร้านหนังสืออิสระขนาดเล็กที่มีเสน่ห์กว่า ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบตกแต่งร้านอย่างมีชีวิตชีวา
หรือแม้แต่บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความเป็นกันเองและอบอุ่น
หากเทียบกับอดีต
น่าดีใจที่ตอนนี้ประเทศไทยเรามีร้านหนังสืออิสระเพิ่มขึ้นไม่น้อย จนเมื่อปี พ.ศ. 2556 สำนักพิมพ์ขนาดเล็กและร้านหนังสืออิสระได้ร่วมกันจัดตั้งเครือข่ายธุรกิจร้านหนังสืออิสระขึ้น
เพื่อร่วมกันจัดงานสัปดาห์ร้านหนังสืออิสระครั้งแรก โดยมีสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) เป็นหัวเรือใหญ่
และจัดต่อเนื่องมาปีนี้เป็นครั้งที่
3 แล้ว สะท้อนให้เห็นถึงผลตอบรับที่ดีไม่น้อย
ซึ่งไม่เพียงทำให้ร้านหนังสืออิสระอยู่ได้ แต่ยังทำให้สำนักพิมพ์ขนาดเล็กได้มีพื้นที่ในการขายหนังสือ
ขณะเดียวกันนักอ่านก็มีทางเลือกที่หลากหลายขึ้น
สัปดาห์ร้านหนังสืออิสระ
ครั้งที่ 3 กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 20-28 มิถุนายนนี้
โดยมีร้านหนังสือ 54 ร้านจากภาคต่างๆ ทั่วประเทศร่วมจัดงานในร้านของตนเอง ทุกร้านจะงัดกลยุทธ์จูงใจนักอ่าน
ด้วยการแปลงโฉมร้านของตนเพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ หลายร้านนิยมจัดกิจกรรมเสวนากับนักเขียน
ไม่ก็เล่นดนตรี หรือฉายหนัง
น่าดีใจที่เมืองลำปางเราก็มีร้านหนังสือร้านหนึ่งเข้าร่วมงานสัปดาห์หนังสืออิสระครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน
ร้านหนังสือแห่งนี้ ชื่อ ร้านหนังสือเล็กๆที่รัก (Little Lovely Book Shop)
ใครจะคิดว่า
ร้านหนังสือกับคลินิกรักษาสัตว์จะใช้พื้นที่ร่วมกันได้ แต่สำหรับนายสัตวแพทย์พงษ์ประสิทธิ์ พงษ์พิจิตร หรือหมอมิ้น
ตึกแถวสามชั้น สองคูหา ย่านสามแยกโรงน้ำแข็งแห่งนี้ คือส่วนผสมอันลงตัวระหว่างบ้าน
อาชีพ และความฝัน
ร้านหนังสือเล็กๆที่รัก
เกิดจากการเป็นนักอ่านตัวยงของหมอมิ้น ซึ่งเกิดและเติบโตท่ามกลางหนังสือในร้านหนังสือเช่า
อันเป็นธุรกิจเดิมของครอบครัว กระทั่งเมื่อปีที่แล้ว หมอมิ้นตัดสินใจเปิดร้านหนังสือเล็กๆ
บนชั้นสองของคลินิกบ้านรักษาสัตว์ โดยหนังสือส่วนใหญ่ที่วางขายในระยะแรก คือวรรณกรรมเยาวชนของสำนักพิมพ์ผีเสื้อ
ตามความชอบของตนเอง ต่อมาจึงค่อยๆ ขยับขยายคัดหนังสือโดยอาศัยสัญชาตญาณความเป็นนักอ่าน
ซึ่งมองแล้วว่าหนังสือเล่มนั้นจะอยู่เหนือกาลเวลา
หนังสือทุกเล่มจึงถูกจัดวางอย่างประณีต
เพราะหมอมิ้นเชื่อว่า หนังสือบางเล่มควรต้องอยู่บนชั้นนานสักหน่อย เพื่อรอคอยนักอ่านสักคนมาพบเจอ
หนังสือส่วนใหญ่ยังคงเป็นงานวรรณกรรมดีๆ และมีความน่าสนใจ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือที่หมอมิ้นเคยอ่านทั้งสิ้น
เช่นนี้ ไม่ว่าเราจะหยิบจับหนังสือเล่มไหน เจ้าของร้านคนนี้ก็สามารถให้คำแนะนำได้หมด
สัปดาห์ร้านหนังสืออิสระ
ครั้งที่ 3 ร้านหนังสือเล็กๆ ที่รักจะจัดกิจกรรมให้ลูกค้านักอ่านชาวลำปางเขียนถึงหนังสือในดวงใจของตนเองลงในโปสการ์ด
จากนั้นทางร้านจะนำมาจัดนิทรรศการหนังสือที่รัก นอกจากนี้ ก็ยังมีการมอบส่วนลด 5 เปอร์เซ็นต์ให้ด้วย
แม้ธุรกิจร้านหนังสืออิสระจะไม่สามารถทำรายได้ชนิดเป็นกอบเป็นกำ
แต่สิ่งที่หมอมิ้นชื่นใจ คือบรรยากาศอบอุ่นเมื่อเห็นพ่อ-แม่-ลูกพากันมาเปิดหนังสือสักเล่มอ่านด้วยกัน
เด็กๆ ได้มีพื้นที่สำหรับสร้างจินตนาการ ขณะเดียวกัน ผู้ใหญ่่ก็ได้คุยกันถึงหนังสือเล่มโปรด
เหตุผลเล็กๆน้อยๆ แค่นี้ หล่อเลี้ยงความฝันของใครบางคนได้ ถึงจะต้องฝ่าฟันกับหนทางข้างหน้าเมื่อต้องมองหาจุดคุ้มทุน
ร้านหนังสือเล็กๆ
บางทีก็ต้องอาศัยใจใหญ่่ๆ ด้วยเหมือนกัน