วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ปฏิบัติการตาต่อตา ฟันต่อฟัน หมอเปรม ปะทะสิทธิรับรู้ของประชาชน

จำนวนผู้เข้าชม http://www.hitwebcounter.com/htmltutorial.php

ฏิบัติการตาต่อตา ฟันต่อฟัน ของนายแพทย์เปรมศักดิ์ หรือ หมอเปรม  เพียยุระ นายกเทศมนตรีเมืองบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ที่มีต่อสื่อ  จนถึงนาทีนี้ นับว่าเกินเลยไปมาก เพียงความไม่เข้าใจ และการสื่อสารที่ต่างฝ่ายต่างยืนยันในจุดของตัวเอง กลายเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบวงกว้าง จนกระทั่งหมอเปรมใช้เป็นเหตุผลว่าต้องปฏิรูปสื่อกันทั้งระบบทีเดียว
           
ความจริง หากหมอเปรมจะเยือกเย็น และนิ่งมากกว่านี้ เราก็จะได้เห็นภาพที่ชัด และอาจแยกแยะได้ระหว่าง “สิทธิในการรับรู้ข้อมูล ข่าวสารของประชาชน” หรือ Right to know  กับ “สิทธิส่วนตัว” หรือสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนบุคคล หรือ Right to Privacy
           
ซึ่งในแง่หลักจริยธรรมสื่อ และหลักกฎหมาย หมอเปรมย่อมอยู่ในฐานะที่จะสงวนสิทธิความเป็นส่วนตัวมากกว่า แม้จะมีข้อพิจารณาเรื่อง “บุคคลสาธารณะ” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็ตาม
           
แน่นอนว่า  สิทธิในการรับรู้ เป็นเหตุผลสำคัญ ที่สื่อมวลชนจะต้องทำหน้าที่ และไม่มีใครที่จะมาลิดรอนเสรีภาพเช่นว่านั้นได้ แต่ข้อถกเถียงที่มีมาตลอดก็คือ สิทธิในการรับรู้นี้จะรุกล้ำเข้าไปในความเป็นอยู่ส่วนบุคคลได้หรือไม่ เส้นแบ่งระหว่างสิทธิที่จะรับรู้และสิทธิส่วนบุคคลอยู่ตรงจุดไหนกันแน่
           
ในขณะที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับ รวมทั้งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2559 นี้  มาตรา 32 เขียนไว้ชัดว่า บุคคลย่อมมีสิทธิในความเป็นอยู่ส่วนตัว เกียรติยศ ชื่อเสียง และครอบครัว การกระทำอันเป็นการละเมิดหรือกระทบต่อสิทธิของบุคคล หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ประโยชน์ไม่ว่าในทางใดๆ จะกระทำมิได้
           
ปฏิเสธไม่ได้แน่นอนว่า ภาพหมอเปรมและหญิงสาวเยาว์วัย ผูกข้อไม้ข้อมือ โดยมีสินสอดทองหมั้นวางตั้งอยู่ตรงหน้า เป็นทั้งสิทธิส่วนบุคคลของหมอเปรม และเป็นเสรีภาพของสื่อที่จะแสวงหาคำยืนยันในเรื่องนี้ แม้จะพอคาดเดาเรื่องราวได้แล้วก็ตาม  ซึ่งก็นับเป็นหลักการทำงานที่ดี ที่จะต้องให้โอกาสผู้ที่ถูกพาดพิง หรือเสียหาย ได้ชี้แจง
           
เนื่องเพราะหมอเปรม เป็นคนประเภทหนึ่ง ซึ่งเรียกกันว่า “บุคคลสาธารณะ” คำว่าบุคคลสาธารณะไม่มีเขียนไว้ในกฎหมาย แต่เป็นที่เข้าใจว่าคือ บุคคลที่อยู่ในความสนใจของสังคมทั่วไป  เช่น นักการเมืองทั้งนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น  ดารา นักร้อง นักแสดง
           
คนประเภทนี้  อาจต้องยกเว้นบางเรื่องราวในชีวิตให้สื่อเขียนถึงได้ วิพากษ์วิจารณ์ได้  เรียกว่าความคุ้มครองทางกฎหมายในความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าคนอื่นๆ  แต่ความเป็นส่วนตัวนั้น ก็มิได้แปลว่า สื่อสามารถก้าวล่วงเข้าไปในชีวิตของเขาได้ทุกเรื่อง ทุกกรณี
           
ซึ่งหากเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเขาโดยแท้ ไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ศาลก็จะตัดสินลงโทษสื่อที่เสนอข่าวละเมิดบุคคลสาธารณะในเรื่องส่วนตัว เช่น กรณีที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษบรรณาธิการ หนังสือพิมพ์มติชน ที่ลงพิมพ์ข้อความว่า “นายชวนเอาลูกไม่เอาแม่” ในยุคที่นายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรี  ในคดีที่นายชวนฟ้องมติชน ฐานหมิ่นประมาท
           
ประเด็นเรื่องส่วนตัวของหมอเปรม จึงเป็นเรื่องน่าคิด ถึงแม้ว่าจะมีคำถามว่า การผูกข้อมือ คล้ายหมอเปรมทำการสมรสกับผู้เยาว์ อาจจะเป็นความผิดตามกฎหมายอาญา ก็เป็นความรับผิดของหมอเปรมกับผู้ที่อ้างว่าเสียหาย ไม่ใช่กับสื่อมวลชน อีกทั้งหากสื่อนำเสนอข่าวเด็กผู้หญิงคนนี้ต่อไป ก็อาจจะมีความผิดตามกฎหมายคุ้มครองเด็กซึ่งมีบทลงโทษทางอาญาเช่นกัน
           
ในหลักการเดียวกัน หากหมอเปรมฟ้องสื่อมวลชน ฐานหมิ่นประมาท ที่นำภาพส่วนตัวของเขามาเปิดเผยต่อสาธารณะ ถึงแม้สื่อจะพิสูจน์ได้ว่า หมอเปรมทำการสมรสกับผู้เยาว์จริง และมีความประสงค์จะอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาจริง สื่อมวลชนก็ยังต้องรับผิดอยู่ เพราะการพิสูจน์ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ เข้าข้อยกเว้นของกฎหมาย
           
บทบาทของสื่อมวลชนในเรื่องนี้ คือความพยายามตอบสนองสัญชาตญาณความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ โดยการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อใครเลย  แต่เพราะหมอเปรมเล่นเกินบทมากจนเกินไป พระเอกก็เลยกลายเป็นผู้ร้ายไปอย่างช่วยไม่ได้

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์  ฉบับที่ 1090 วันที่ 5 - 11 สิงหาคม 2559)
Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์