ประชามติร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2559 ที่ผ่านมา สำหรับคนลำปาง ไม่เรียกว่ารักพี่เสียดายน้อง เหมือนคนจังหวัดอื่นๆ ที่เลือกรับทั้งสองประเด็น แต่การตัดสินใจเลือกว่าจะรับหรือไม่นั้น กลับดำเนินไปในลักษณะที่เรียกว่า รักพี่แต่เกลียดน้อง
คนลำปางรับร่างรัฐธรรมนูญในสัดส่วนเปอร์เซ็นต์
51.7 :
48.3 % แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมรับคำถามพ่วง
ที่ว่าให้สมาชิกวุฒิสภามีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี สัดส่วน 48.51 : 51.49
% ในทางทฤษฏีอาจอธิบายได้ว่า คนลำปางต้องการประชาธิปไตย
ต้องการให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว
แต่ไม่ต้องการให้วุฒิสมาชิกสรรหา 250 คน
มามีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะถือว่าอยู่นอกกติกา
ตัวเลขประชามติยังบอกอีกว่า
ถึงแม้จะมีการให้ข้อมูลด้านเดียว ในช่วงโค้งสุดท้าย คือข้อมูลในด้าน
กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ผ่านครู ข. ครู ค. รวมทั้งคณะกรรมการเลือกตั้งประจำจังหวัด
ถึงกระนั้นก็ยังไม่สามารถกินแดนของคนเสื้อแดงได้มากนัก ดูจากตัวเลขแพ้
ชนะซึ่งห่างกันไม่มาก
ห่างกันไม่มาก
ยังพอเข้าใจได้ แต่ที่เท่ากัน 50 % ในประเด็นที่ 1 ที่อำเภอเถิน ด้วยคะแนนเสียง
รับและไม่รับ 13,430 เท่ากันพอดี แม้อาจเป็นไปได้ แต่ต้องมีคำถาม
และ กกต.จังหวัดควรจะทำเรื่องนี้ให้กระจ่างชัด ด้วยหลักฐานเอกสาร จำนวนผู้มีสิทธิ
และการลงประชามติให้สิ้นสงสัย
เป็นความสงสัยที่มิใช่เฉพาะที่จังหวัดลำปางเท่านั้น หากในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ก็มีคนสงสัยว่า
การลงประชามติครั้งนี้ อาจมีเงื่อนงำ
จนต้องให้มีการสอบสวนทวนความกันให้แน่ชัด เช่น ความเคลื่อนไหวของนายศรีสุวรรณ
จรรยา
ศรีสุวรรณ
จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย
ได้ยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ให้สอบสวนคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฐานละเลยการปฏิบัติหน้าที่
เป็นเหตุทำให้การไปลงประชามติของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
ไม่เป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม
คงหาหลักฐานยาก
ในกระแสสังคมที่คนสองฟากยอมรับประชามติแม้ว่าตัวเองจะไม่เห็นด้วย เช่น
ท่าทีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ประชามติเรื่องตัวเลข ก็ยังน่าพิเคราะห์ว่า
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ กับคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า คะแนนเสียงรับไม่รับ
ในขอบเขตทั่วประเทศจะต่างกันไม่มาก
อีกทั้งเสียงในภาคเหนือ
ที่น่าจะออกมาในลักษณะเดียวกับเสียงในภาคอีสานที่ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ
เฉพาะลำปาง
ประชามติไม่รับอยู่ในอำเภอเมือง แม่เมาะ แจ้ห่ม และเถิน เขตเมืองนั้นอาจพออธิบายได้ว่า
เป็นกลุ่มคนชั้นกลาง ที่มีความคิด ทัศนคติ ไม่ต่างจากคนกรุงเทพ ในปีกของ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส.
แต่พอถึงคำถามพ่วง
‘เถิน’ หายไป เป็นไม่เห็นด้วย ซึ่งน่าจะพออนุโลมด้วยเหตุผลที่กล่าวแล้วข้างต้น
นอกจากตัวเลข
รับ ไม่รับร่าง และคำถามพ่วงแล้ว คนที่กาไม่ครบช่อง คือเห็นด้วยกับร่าง
แต่ไม่เห็นด้วยกับคำถามพ่วง อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยปล่อยให้เป็นช่องว่างไว้ ดังนั้น
เสียงที่หายไป คล้ายเป็นโนโหวต คือไม่มีความเห็น และไม่ลงประชามติ ประเด็นที่ 1 จะหายไป
20,000 เสียง ประเด็นที่ 2 ราว 50,000
เสียง นี่ก็ย่อมมีนัยสำคัญเช่นเดียวกัน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1091 วันที่ 12 - 18 สิงหาคม 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น