พ่อแม่ไม่มี เงินทอง จะกองให้ จงตั้งใจ พากเพียร เรียนหนังสือ
หาวิชา ความรู้ เป็นคู่มือ เพื่อยึดถือ เอาไว้ ใช้เลี้ยงกาย
พ่อกับแม่ มีแต่ จะแก่เฒ่า จะเลี้ยงเจ้า เรื่อยไป นั้นอย่าหมาย
ใช้วิชา ช่วยตน ไปจนตาย เจ้าสบาย แม่กับพ่อ ก็ชื่นใจ
คำกลอนสอนใจที่ได้ยินได้อ่านมาตั้งแต่เป็นเด็กๆเมื่อหลายสิบปีก่อน
ที่สมัยนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเด็กรุ่นใหม่จะเคยได้ยินและเข้าใจเนื้อหาความหมายของกลอนบทนี้หรือไม่
หากนับย้อนเวลาไปเมื่อหลายสิบปีก่อนที่ประเทศไทยยังไม่เจริญเท่าทุกวันนี้
สมัยที่ไฟฟ้ายังไปไม่ถึงในพื้นที่ห่างไกล ถนนหนทางไม่สะดวกสบาย
โทรทัศน์ประจำบ้านเป็นเรื่องของคนทีฐานนะเท่านั้น โทรศัพท์มือถือยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีให้เห็นเกลื่อนกลาดมีคนทุกคนเหมือนอย่างสมัยนี้
และเมื่อพูดถึงอาชีพการงาน สมัยก่อนคนไทยส่วนใหญ่มีอาชะทำไร่ทำนาทำสวน หลังสู้ฟ้า
หน้าสู้ดิน อาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว
สมัยนั้นอาชีพทำนาทำสวนนั้นถูกคนเขาตีตราว่าเป็น “คนจน”
หลายคนจึงต้องการส่งเสียให้ลูกเรียนจบสูงๆเพื่อจะได้เป็นเจ้าคนนายคน
ไม่ต้องมาเป็นชาวไร่ชาวนาทำงานเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด
สมัยก่อนไม่ได้มีนโยบายเรียนฟรีเหมือนอย่างสมัยนี้
พ่อแม่ต้องจ่ายเองหมดทั้งค่าเทอม ค่าหนังสือ ค่าชุด
ใครที่เป็นข้าราชการก็ดีหน่อยที่ยังพอเบิกค่าเทอมบุตรได้บ้าง ใครที่พ่อแม่ส่งไหวก็ได้เรียนหนังสือ
จนกลายเป็นว่า
“โอกาสทางการศึกษา” ที่ไม่เท่ากันทำให้หลายคนเข้าไม่ถึง คนไทยสมัยนั้นยังได้รับการศึกษาไม่มาก
ในที่สุดก็มีพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการศึกษา และมีนโยบายเรียนฟรี12 ปี
(ตอนนี้มีแนวคิดจะผลักดันให้เรียนฟรี15ปี) เริ่มจากฟรีค่าเทอม ต่อมามีการต่อยอดเป็นนโยบายของรัฐบาลแต่ละชุด
เช่น ฟรีค่า เสื้อผ้า อุปกรณ์การเรียน ค่าอาหาร ค่าหนังสือ ฯลฯ
แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าโรงเรียนเลี่ยงบาลีด้วยการมีค่าบำรุง
ค่าคอมพิวเตอร์และสารพัดค่า
จิปาถะที่ผู้ปกครองต้องยอมจ่ายเพื่อให้ลูกหลานได้เรียนในสถาบันการศึกษาที่ดีมีคุณภาพ
ตามมาด้วยสารพัดการสอบวัดมาตรฐานการเรียนรู้ที่ผลสอบดูจะไม่น่าโสภา
เพราะมันบ่งบอกว่าเด็กนักเรียนสอบผ่านมีเพียงครึ่งเดียว
จนเด็กนักเรียนต้องแห่ไปเรียนพิเศษ และจำนวนมากไปเรียนกับครูที่สอนในห้องเรียน
และสิ่งที่เราจะเห็นทุกปีในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ใกล้ถึงเวลาเปิดเทอม
พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องเตรียมเงินสำหรับชุด ค่าอุปกรณ์การเรียน
ถ้าลูกเรียนโรงเรียนเอกชนค่าเทอมก็แพงหูฉี่
ยิ่งในเมืองหลวงเมืองกรุงหัวเมืองใหญ่ๆพ่อแม่หลายคนยอมจ่ายค่าเทอมเฉียดแสน
ขอเน้นว่าแค่เทอมเดียว บางแห่งยิ่งต้องจองล่วงหน้าเพื่อให้ลูกหลานได้มีที่เรียนดีๆ
โรงเรียนเอกชนบางแห่งออกโปรโมชั่นจ่ายล่วงหน้า 6 ปี
เห็นพ่อแม่ถอนเงินหลักล้านไปจ่ายเงินค่าเทอมล่วงหน้าให้ลูก2คน
แน่นอนว่าหากมองในแง่เศรษฐศาสตร์เม็ดเงินจากสิ้นค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการศึกษาย่อมสะพัดแน่นอน
กระตุ้นเศรษฐกิจที่ซบเซาได้บ้าง
ช่วงนี้จึงเห็นห้างร้านที่เกี่ยวกับการศึกษาจะมีผู้คนหนาแน่นเข้าไปซื้อเสื้อผ้าชุดนักเรียน
จนที่จอดรถแทบไม่มี
แต่ในมุมของพ่อแม่แล้ว
ช่วงนี้จัดได้ว่าเป็นช่วงทุกข์ที่พ่อแม่พูดไม่ได้
ในวัยกำลังกินกำลังนอน
เด็กๆตัวโตขึ้นใหญ่ขึ้นในช่วงปิดเทอม ชุดนักเรียนเก่าที่เคยใส่ได้ ก็กลายเป็นคับ
อย่างน้อยเด็กนักเรียน 1 คน จ้องมีชุดนัดเรียนอย่างน้อย 2 ชุด ชุดลูกเสือ-เนตรนารี
1 ชุด ชุดพละ 1 ชุด รองเท้านักเรียนและรองเท้ากีฬาอย่างละ 1 คู่
แถมกระเป๋านักเรียนที่บางโรงเรียนบังคับต้องใช้กระเป๋าเป้ของโรงเรียนเท่านั้น ทั้งหมดนี้คือเงินที่พ่อแม่ต้องหามาจ่าย
ถ้าบ้านไหนมีลูกมากกว่าหนึ่งคนค่าใช้จ่ายก็ทวีคูณขึ้นไป
ยิ่งสภาวะฝืดเคือง
ข้าวของเครื่องใช้ขึ้นราคา หลายคนต้องหลายต้องรูดบัตรเครดิต
หลายคนต้องไปหยิบยืมญาติพี่น้อง หลายคนต้องกู้หนี้ยืมสิน
ที่หนักสุดก็คือหนี้นอกระบบเสียดอกเบี้ยแพงก็ต้องยอม
อย่างน้อยก็หวังให้พอหมุนเงินให้ผ่านพ้นช่วงเปิดเทอมวิปโยคนี้ไป
หนักแค่ไหนพ่อแม่ก็ยอม
เพราะมรดกที่มีค่ามากที่สุดที่พ่อแม่ให้ลูกได้นั่นคือการศึกษา
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1127 วันที่ 5 -11 พฤษภาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น