วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ชี้โรงไฟฟ้าแม่เมาะยังกระทบชุมชน แนะเร่งแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม

          คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ออกโรงเตือนการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ให้เร่งแก้ไขปัญหามลภาวะและผลกระทบต่อสุขภาพจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จังหวัดลำปาง หลังพบยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน

          เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 นายภาณุวัฒน์ ทองสุข รองเลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) เปิดเผยว่า กสม. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนในอำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2565 เกี่ยวกับผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ถ่านหินลิกไนต์ หินปูน และโรงไฟฟ้าแม่เมาะของ กฟผ. ปัญหาที่พบ ได้แก่ มลภาวะทางเสียง ฝุ่นละออง กลิ่นเหม็น น้ำเน่าเสีย สัตว์น้ำลดลง และสารพิษปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เช่น ปรอท ตะกั่ว ทองแดง และแคดเมียมในอ่างเก็บน้ำแม่เมาะ นอกจากนี้ ยังมีข้อร้องเรียนจากเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะในเดือนพฤศจิกายน 2565 ว่าไม่สามารถเข้าถึงกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ อาชีพ และสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มที่

 

จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง กสม. พบ 3 ประเด็นปัญหา

          ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ :

          ผลกระทบจากการประกอบกิจการเหมืองแร่และโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ปรากฏข้อเท็จจริงว่า กฟผ. ประกอบกิจการในพื้นที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลําปาง รวม 3 กิจการ ได้แก่ โครงการเหมืองแร่ถ่านหิน ลิกไนต์ โครงการเหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมเคมี และโรงไฟฟ้าแม่เมาะ โดยปรากฏข้อมูลตามรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ หรือรายงาน EHIA โครงการขยายกําลังการผลิตโรงไฟฟ้า ทดแทนโรงไฟฟ้าแม่เมาะ เครื่องที่ 4 - 7 ของ กฟผ. (ระยะดำเนินการ) ประจำเดือนมกราคม – มิถุนายน 2565 ว่า คุณภาพน้ำผิวดินและตะกอนดินบริเวณอ่างเก็บน้ำแม่เมาะ มีค่าไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และรายงานผลการ ติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ในช่วงปี 2565 - 2567 พบว่า มีประเด็นสิ่งแวดล้อม หลายด้านที่ไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในรายงาน EHIA โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณภาพอากาศ

          กสม. เห็นว่า แม้ กฟผ. จะปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ ในรายงาน EHIA ของโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และได้แก้ไขปัญหาตามมาตรการครบถ้วนตามที่ปรากฏในรายงาน ดังกล่าว รวมทั้งได้ศึกษาวิจัยร่วมกับสถาบันการศึกษาเกี่ยวกับฝุ่นละออง โอโซน และการสะสมของสารพิษ ในตะกอนดินแล้ว แต่ผลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมหลายด้านยังมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะค่าฝุ่นสูงในพื้นที่โรงไฟฟ้า การปนเปื้อนของสารหนูและแคดเมียมในน้ำและดิน การพบปรอท อินทรีย์เกินมาตรฐานในเนื้อปลาจากแหล่งน้ำดิบ แหล่งน้ำดิบ รวมทั้งการตรวจพบเสียงดังรบกวนจากกิจกรรมโรงไฟฟ้า เกินมาตรฐานโดยเฉพาะช่วงกลางคืน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวทางแก้ไขปัญหาของ กฟผ. ตามรายงาน EHIA ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผลกระทบที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวันของชุมชนได้ อีกทั้ง กฟผ. อยู่ระหว่าง ก่อสร้างโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทน เครื่องที่ 8 - 9 และจะเริ่มเดินเครื่องในปี 2569 จึงต้องมีมาตรการป้องกัน และแก้ไขปัญหาผลกระทบสะสมในพื้นที่อำเภอแม่เมาะอย่างเคร่งครัด ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า มีการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้ร้องและประชาชนที่ได้รับผ ได้รับผลกระทบ

          การจัดสรรค่าภาคหลวงแร่ :

          อบต. สบป้าด จัดอยู่ในกลุ่ม อบต. และเทศบาลอื่นที่อยู่ภายในจังหวัดที่มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ตามประทานบัตร ที่จะได้รับการจัดสรร ค่าภาคหลวงแร่ในอัตราร้อยละ 10 ของค่าภาคหลวงแร่ที่จัดเก็บได้ภายในเขต และจะได้รับการจัดสรรตาม อัตราส่วนจำนวนราษฎร ซึ่งเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น เรื่อง การจัดสรรค่าภาคหลวงแร่และค่าภาคหลวงปิโตรเลียมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ลงวันที่ 5 สิงหาคม 2554 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า อบต. สบป้าดได้รับจัดสรรค่าภาคหลวงแร่จากอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่เรื่อยมาตั้งแต่ปี องแร่เรื่อยมาตั้งแต่ปี 2547 ในชั้นนี้ จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำ หรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ดี กสม. เห็นว่า หลักเกณฑ์การจัดสรร ค่าภาคหลวงแร่ดังกล่าว ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำกันทางด้านรายได้ เนื่องจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) บางแห่งที่มีพื้นที่อยู่ใกล้กับเหมืองแร่ ไม่ได้รับการจัดสรรค่าภาคหลวงแร่หรือได้รับการจัดสรรไม่ เหมาะสม ซึ่งส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่ประชาชนในพื้นที่

          การจัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า :

          กรณีการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อเยียวยาผู้ได้รับ ผลกระทบให้แก่เครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ เห็นว่า แม้ว่าเครือข่ายฯ จะสามารถขอรับการสนับสนุน งบประมาณตามระเบียบคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานว่าด้วยกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อการพัฒนาหรือฟื้นฟูท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการดําเนินงานของโรงไฟฟ้า พ.ศ. 2563 ได้ แต่ที่ผ่านมาเครือข่ายฯ กลับได้รับจัดสรรเงินจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าฯ เพียง 2 ครั้ง คือในปี 2551 เป็นโครงการให้โคและสุกร ในนามเครือข่ายสิทธิผู้ป่วยแม่เมาะ และปี 2566 ได้รับจัดสรรเงินผ่านอำเภอแม่เมาะ 600,000 บาท ทั้งที่มี สมาชิกกว่า 200 คน อันสะท้อนให้เห็นถึงความไม่สมดุลในการจัดสรรเงินกองทุน นอกจากนี้ ในทางปฏิบัติเครือข่ายฯ ยังไม่สามารถเข้าถึงเงินสนับสนุนเพื่อค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้าได้ อย่างที่ควรจะเป็น เนื่องจากระเบียบเน้นไปที่โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหรือกิจกรรมชุมชนทั่วไป กลุ่มผู้ป่วยและครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากการดําเนินงานของโรงไฟฟ้าแม่เมาะจึงต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลและการสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความทุกข์ยากที่ เรื้อรัง และสะท้อนถึงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น ในชั้นนี้ จึงรับฟังได้ว่า การออกกฎเกณฑ์และระเบียบ เกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานเป็นการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

 

เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2568 ได้มีข้อเสนอแนะของ กสม. ต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้:

ต่อ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) :

  •  แก้ไขปัญหาเสียงดังรบกวน กลิ่นเหม็น และปรับปรุงการตรวจวัดเสียงให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ
  • ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมในรายงาน EHIA อย่างเคร่งครัด และเผยแพร่ข้อมูลคุณภาพสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนทราบ
  •  จัดทำมาตรการและแนวปฏิบัติเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อสุขภาพจากมลพิษทางอากาศ และเพิ่มความถี่ในการตรวจสุขภาพประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง
  • สำหรับโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8-9 ที่จะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ในปี 2569 ต้องมีมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสะสมอย่างเคร่งครัด
  • ดำเนินการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (HRDD) โดยรวบรวมปัญหาอุปสรรค และข้อร้องเรียน เพื่อนำไปแก้ไขหรือปรับปรุงการดำเนินโครงการทั้งสามในอำเภอแม่เมาะ ให้เป็นไปตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGPs) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม

ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน :

  • แก้ไขปรับปรุงระเบียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ และขั้นตอนเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้าเพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างทั่วถึง เป็นธรรม และโปร่งใส
  •  ปรับคำนิยาม "ผู้มีส่วนได้เสีย" ให้ครอบคลุมถึงกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเครือข่ายภาคประชาชนที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และจัดสรรงบประมาณด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมให้มีสัดส่วนมากกว่าด้านอื่น ๆ

        ต่อกระทรวงอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ร่วมกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น :

  •  ปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่อง การจัดสรรค่าภาคหลวงแร่และค่าภาคหลวงปิโตรเลียมให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรค่าภาคหลวงแร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
  • ต่อคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงาน EHIA ด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม:
  • พิจารณาปรับประเด็นการตรวจวัดเสียงรบกวนให้เป็นไปตามประกาศกรมโรงงานอุตสาหกรรม เรื่อง วิธีการตรวจวัดระดับเสียงรบกวน ระดับเสียงเฉลี่ย 24 ชั่วโมง และระดับเสียงสูงสุด ที่เกิดจากการประกอบกิจการโรงงาน พ.ศ. 2567 และกำหนดมาตรการในการตรวจวัดเสียงรบกวนให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น