วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

กฟผ.แม่เมาะ ทุ่ม 25,000 ล้าน เดินหน้าปรับปรุงใหญ่โรงไฟฟ้าเครื่องที่ 12–13 แทน MMRP2 ยกระดับสิ่งแวดล้อม–คุมมลพิษ เข้มรับกฎหมายใหม่ ปี 2575

  • ยุติโครงการ MMRP2ปรับกลยุทธ์ ซ่อมแทนสร้าง

นายสุทธิพงษ์ เฉลิมเกียรติ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า 2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8-9 (MMRP2) ได้ยุติการดำเนินการแล้ว หลังไม่สามารถหาผู้พัฒนาโครงการได้ โดย กฟผ.จึงทำหนังสือขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว

ทั้งนี้ เพื่อคงกำลังการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ไว้ที่ 1,200 เมกะวัตต์ กฟผ.จึงตัดสินใจปรับปรุงโรงไฟฟ้าเก่าหน่วยที่ 12 และ 13 จากเดิมหน่วยละ 300 เมกะวัตต์ ให้สามารถเดินเครื่องผลิตได้ต่อเนื่องอีกระยะ รวมกำลังผลิต 600 เมกะวัตต์  ใช้ระยะเวลาดำเนินงานรวมประมาณ 6 ปี

  • รับมือกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ ปี 2575

สาเหตุหลักในการปรับปรุง เนื่องจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2575 กำหนดให้โรงไฟฟ้าทุกแห่งต้องควบคุมค่ามลสารให้อยู่ในระดับที่เข้มงวดกว่าเดิม โดยค่ากำมะถัน (SO₂) ต้องลดจาก 320 ppm เหลือ 150 ppm, ไนโตรเจนออกไซด์ (NOₓ) จาก 500 เหลือ 200 ppm และฝุ่นละอองจาก 180 เหลือเพียง 30 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร รวมถึงเพิ่มข้อกำหนดใหม่เรื่องสารปรอทไม่เกิน 0.03 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

เราจะใช้เทคโนโลยีเดิม ปรับปรุงเฉพาะส่วนระบบควบคุมมลพิษ เพื่อให้ผ่านตามกฎหมายใหม่ ประสิทธิภาพการผลิตยังใกล้เคียงของเดิม การใช้ถ่านหินเท่าเดิม เพียงแต่ปล่อยมลพิษลดลงกว่าครึ่งนายสุทธิพงษ์ กล่าว

 


  • แผนดำเนินงาน 6 ปี ทดแทนหน่วย 8 และ 11

โครงการปรับปรุงใช้เวลารวมประมาณ 6 ปี แบ่งเป็นช่วงศึกษาความเป็นไปได้และจัดทำรายงาน EHIA ประมาณ 2 ปีครึ่ง และช่วงก่อสร้างปรับปรุงจริงราว 3 ปีครึ่ง  ระหว่างดำเนินการ กฟผ.ได้เลื่อนการปลดระวาง หน่วย 8 และ 11 ออกไป เพื่อให้ผลิตไฟฟ้าทดแทนได้ต่อเนื่องจนกว่า 12 และ 13 จะปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์

ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า 2 ระบุว่า  ณ เวลานี้เราผลิตอยู่ 2400 เมกะวัตต์ พอ 1มกรา ปีหน้ามันจะเหลือแค่ 1200 เมกะวัตต์  ก็คือ ปริมาณถ่านที่เรามีสำรองลดลง จำเป็นจะต้องลดกำลังการผลิตลงด้วยตามปริมาณถ่านที่มี

  •  งบลงทุน 25,000 ล้าน ประหยัดกว่าครึ่งจากโครงการเดิม

งบประมาณในการปรับปรุงโรงไฟฟ้าครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ 25,000 ล้านบาท น้อยกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ (MMRP2) ที่เคยวางไว้กว่า 45,000 ล้านบาท นอกจากจะลดต้นทุนแล้ว ยังช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องมากว่า 36 ปี

 


  • ค่ามลพิษน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน ปลอดภัยต่อชุมชน

ด้านสิ่งแวดล้อม ในเรื่องน้ำ กฟผ.แม่เมาะยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อชุมชน โดยค่ามาตรฐานหลัก 4 รายการต่ำกว่ากฎหมายกำหนดมาก ได้แก่ TDS (ของแข็งละลายรวม) ต่ำกว่า 1,000 ppm จากเกณฑ์ 3,000 ppm   COD (ค่าออกซิเจนที่ใช้ได้) ประมาณ 2040 มก./ลิตร จากเกณฑ์ 120   Suspended Solids ต่ำกว่า 10 มก./ลิตร จากเกณฑ์ 50   และค่า pH อยู่ระหว่าง 78 ถือเป็นกลางและปลอดภัย ทั้งนี้ ปริมาณน้ำที่ใช้และปล่อยออกจะลดลงตามกำลังการผลิตที่ลดลงด้วย

  • ผลกระทบต่อกองทุนพัฒนาไฟฟ้า

ปัจจุบัน กฟผ.แม่เมาะมีกำลังผลิต 2,400 เมกะวัตต์ สร้างรายได้เข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าราว 350360 ล้านบาทต่อปี  เมื่อกำลังผลิตลดลงครึ่งหนึ่ง เงินกองทุนอาจลดเหลือราว 180 ล้านบาทต่อปี แต่ยังถือเป็นงบก้อนใหญ่เพื่อใช้พัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม การศึกษา และอาชีพ

และเพื่อให้ชุมชนมีความยั่งยืนหลังยุคถ่านหิน กฟผ.ได้จัดตั้งโครงการ แม่เมาะสมาร์ทซิตี้ เป็นศูนย์กลางส่งเสริมอาชีพ พัฒนาทักษะ และสร้างรายได้ให้ชุมชนหลังจากโรงไฟฟ้าและเหมืองปิดดำเนินการ เพื่อให้คนแม่เมาะยังคงมีชีวิตและอาชีพมั่นคง


  • เดินหน้าสู่นโยบาย คาร์บอนนิวทรัล

การปรับปรุงโรงไฟฟ้าครั้งนี้เป็นหนึ่งในแนวทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) สอดคล้องกับนโยบาย Carbon Neutrality 2050 ของประเทศและของ กฟผ. นอกจากลดกำลังผลิตลงครึ่งหนึ่งแล้ว กฟผ.ยังวิจัยนวัตกรรมดักจับคาร์บอนจากวัสดุเหลือใช้ เช่น นำน้ำขี้เถ้ามาใช้ดักจับ CO  นำขี้เถ้าก้นเตามาผลิตวัสดุก่อสร้างชนิดใหม่ จีโอพอลิเมอร์” (Geopolymer) ซึ่งสามารถดูดซับ CO₂ จากก๊าซไอเสีย

 การปรับปรุงโรงไฟฟ้าแม่เมาะหน่วยที่ 1213 ไม่เพียงต่ออายุการเดินเครื่อง แต่ยังยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมให้เทียบเท่าสากล และเดินหน้าไปพร้อมกับเป้าหมายพลังงานสะอาดของประเทศผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า 2 กล่าวทิ้งท้าย.

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น