วันจันทร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568

เดิมพันสูง บ้านสวน - บ้านดอยเงิน รักษาฐานที่มั่น ในสถานการณ์การเมืองใหม่

 


            เข้าสู่ยุคที่การเมืองแบบใหม่ โครงสร้างประชากรไทย ที่คนรุ่นใหม่เติบโตขึ้นมาแทนที่คนรุ่นเก่า โดยเฉพาะเมื่อการเลือกตั้งครั้งสุดท้าย ที่พรรคก้าวไกลก้าวกระโดดมาเป็นพรรคอันดับหนึ่ง พลันก็เกิดคำถามว่า การเมืองแบบ “บ้านใหญ่” การเมืองระบบอุปถัมภ์ แบบ “ใจถึง พึ่งได้” ยังมีเส้นทางเดินที่จะยังคงรักษาฐานที่มั่นเดิมไว้ได้หรือไม่ เพียงใด

            การเมืองแบบบรรหารบุรี ที่ ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา ตัดสินใจนำ ส..พรรค 10 คนเข้าร่วมพรรคภูมิใจไทย หรือ “บ้านดอยเงิน” ของพินิจ จันทรสุรินทร์ ที่กระโดดเข้าร่วมขบวนอนุทิน ชาญวีรกูล แปลว่า การเมืองจากนี้ อาจอาศัยความศรัทธา บารมีที่สั่งสมมาในอดีตไม่ได้แล้ว หากไม่มีกระแสความนิยมพรรคหนุนส่ง

            ไม่ว่าจะยุบสภา วันที่ 12 ธันวาคม ปีนี้ หรือ 31 มกราคม 2569 ตามกำหนดเดิม พรรคภูมิใจไทย ก็ต้องถือว่ามีแต้มต่อทางการเมืองมากกว่าพรรคใดๆ ทั้งโอกาสที่ได้จัดวางคนของตัวเอง ลงในตำแหน่งต่างๆ ผ่านการโยกย้ายแต่งตั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง การระดมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับพรรค จากกลุ่มธุรกิจ กลุ่มนักการเมืองระดับแกนนำจากพรรคการเมืองอื่น ซึ่งทำให้พรรคภูมิใจไทย ซึ่งเคยเป็นพรรคขนาดกลาง เติบโตขยายตัวเป็นพรรคการเมืองขนาดใหญ่ในทันที

            การตัดสินใจซบพรรคภูมิใจไทยของบ้านดอยเงิน จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกในแง่ของนักการเมือง เพราะเมื่อพรรคมีขนาดใหญ่ มีโอกาสเข้าสู่อำนาจสูง นักการเมืองที่เข้าร่วมกับพรรคแบบเป็นกลุ่มเป็นก้อน ก็มีความหวังที่จะเข้าสู่อำนาจได้ง่ายดายเช่นเดียวกัน

            นั่นก็เป็นต้นทุนที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าพิเคราะห์แบบใช้ต้นทุนใหม่ บวกต้นทุนเดิม ซึ่งหมายความถึง อำนาจ บารมี ในแบบนักการเมืองรุ่นเก่า ที่สั่งสมมาอย่างยาวนานระหว่าง ไพโรจน์ โล่ห์สุนทร แห่ง “บ้านสวน” กับ พินิจ จันทรสุรินทร์ แห่ง “บ้านดอยเงิน” ใครจะมีภาษีดีกว่ากัน

            พินิจ จันทรสุรินทร์ นั้น ถือว่าแก่กล้าพรรษากว่า คือเป็น ส..ลำปางครั้งแรก ในปี 2518 ตอนนั้นสังกัดพรรคธรรมสังคม และได้เข้าร่วมกับพรรคไทยรักไทย ต้นกระแสธารพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2544 เป็น ส..ระบบบัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในปี 2562 ส่วน ไพโรจน์ โล่ห์สุนทร เป็น ส..ครั้งแรก สังกัดพรรคเอกภาพ ในปี 2531 เข้าพรรคไทยรักไทย ปีเดียวกับพินิจ จันทรสุรินทร์ และได้รับเลือกตั้ง เป็น ส.ส.แบบแบ่งเขต ในนามพรรคเพื่อไทย ในปี 2562 เป็น ส..เขต ที่มีอายุมากที่สุดที่ได้รับเลือกตั้ง คือ 82 ปี

            ศรัทธา บารมี ความรัก ในแบบ บุญเท่ง ทองสวัสดิ์ อดีต ส.ส.ลำปาง ที่ฝนตก ชาวบ้านต้องกางร่ม ไปกันฝนไม่ให้เปียกโปสเตอร์หาเสียงที่ติดไว้ที่เสาไฟฟ้า ต้องนับว่าทั้ง พินิจ จันทรสุรินทร์ และ ไพโรจน์ โล่ห์สุนทร  ก็มีต้นทุนความศรัทธานี้ไม่ต่างกันมากนัก

            แต่ถ้าวัดกันที่ความสม่ำเสมอ การทำพื้นที่ที่เข้มแข็ง ไม่ว่าจะเป็นงานบวช งานแต่ง งานตาย หรือกิจกรรมต่างๆทั้งในพื้นที่ลำปางและจังหวัดใกล้เคียง ไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ไม่เคยห่างหายไปจากสายตาคนลำปางเลย ขณะที่ พินิจ จันทรสุรินทร์ อาจจะดูแผ่วๆไปบ้าง ในช่วงเวลาและสถานการณ์ที่เขายังไม่ต้องพึ่งพาคะแนนเสียง

            ต้นทุนใหม่ บวกต้นทุนเดิม จึงถือว่าสูสีกัน ถ้าวัดคะแนนในระดับ ส.ส.เขต ซึ่ง หากสมัยหน้า ไพโรจน์ โล่ห์สุนทร ยังไม่วางมือทางการเมือง ก็น่าจะได้รับการพิจารณาเป็น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ศรัทธา อำนาจ บารมีของเขา ก็อาจส่งผลทางอ้อมโดยดูที่คะแนนเสียงของผู้สมัครแบบแบ่งเขตในตระกูล โล่ห์สุนทร

            แต่ไม่ว่าจะเป็นทุนใหม่ หรือทุนเดิม ทั้งพรรคเพื่อไทย และภูมิใจไทย ก็ต้องยึดเก้าอี้ ส.ส.ลำปางให้ได้ทั้งหมด 4 ที่นั่ง ซึ่งจะกลายเป็นอำนาจต่อรองของกลุ่มบ้านดอยเงิน และบ้านสวนในอนาคต ในอนาคตรัฐบาลพรรคภูมิใจไทย หรืออนาคตรัฐบาลพรรคเพื่อไทย

            แต่ฉากตอนละครการเมือง คงไม่ได้ง่ายแบบนั้น อย่าประมาทคนรุ่นใหม่ ที่ปัจจัยการตัดสินใจของเขา ไม่เกี่ยวกับอำนาจ บารมีของนักการเมืองรุ่นเก่า

            หากกระแสก้าวไกล ที่ส่งมายังพรรคประชาชนยังแรงอยู่ ทั้งพินิจ จันทรสุรินทร์ และไพโรจน์ โล่ห์สุนทร จะต้องช่วงชิงรักษาเก้าอี้ไว้ได้ด้วยต้นทุนอำนาจ บารมีส่วนตัว ดีที่สุดก็คือรักษาเก้าอี้ไว้ให้ได้มากที่สุด หนีสถานะสูญพันธุ์ไปให้ได้

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น