ร้อยละ 90
ของพลังงานที่ใช้ในประเทศไทย คือ พลังงานเชื้อเพลิง
น้ำมัน แก๊สธรรมชาติ และถ่านหิน ยังเป็นส่วนน้อยสำหรับ พลังงานทางเลือก เช่น
ชีวมวล แก๊สชีวภาพ พลังงานน้ำ
พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ฯลฯ
เมื่อพลังงานหลักมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พลังงานทดแทนจึงเป็นทางเลือก ที่ช่วยลดต้นทุนได้มาก โดยเฉพาะ
พลังงานชีวมวล ซึ่งหาได้ง่ายจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
ที่มีอยู่มากมายในประเทศไทย
กฟผ.แม่เมาะ ได้เริ่มโครงการ
Biomass
Co-Firing นำเชื้อเพลิงชีวมวลเผาไหม้ร่วมกับถ่านหิน
เพื่อลดต้นทุน และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี
มีเป้าหมายการเป็นเมืองคาร์บอนต่ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจของโครงการแม่เมาะเมืองน่าอยู่ Mea Moh Smart City นำเสนอความโดดเด่นด้านพลังงานอัจฉริยะ Smart Energy ซึ่งโครงการนี้
ได้เริ่มศึกษาและทดลองมาตั้งแต่ปี 2562 กระทั่งได้เริ่มทดลองใช้จริงในปี 2564 และมีแผนจะต่อยอดสู่ชุมชนให้เกิดรายได้อย่างยั่งยืน
นางเกษศิรินทร์
แปงเสน หัวหน้าโครงการแม่เมาะเมืองน่าอยู่ เล่าความเป็นมาของโครงการว่า
กฟผ.แมเมาะ ได้เริ่มศึกษาโครงการ biomass co-firing มาตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเป็นการศึกษาทางด้านเทคนิคและเริ่มทดลองนำเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
มาเป็นชีวมวลอัดเม็ด(Biomass pallet) นำเข้าสู่กระบวนการเผาร่วมกับถ่านหินลิกไนต์ช่วงปลายปี
2564 และเป็นช่วงที่เริ่มโครงการแม่เมาะเมืองน่าอยู่
Mae Moh Smart City ต่อมาต้นปี 2565 ได้มีโครงการรับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร
จากวิสาหกิจชุมชนตำบลจางเหนือ อ.แม่เมาะ จำนวน
1,000 ตัน เพื่อนำมาอัดเม็ดและเผาร่วมกับถ่านหินในโรงไฟฟ้า ซึ่งถือว่า กฟผ.แม่เมาะ เป็นโรงไฟฟ้าแห่งแรกในประเทศไทยที่มี Biomass co-firing
หัวหน้าโครงการแม่เมาะเมืองน่าอยู่
กล่าวว่า ในปีหน้า กฟผ.จะขยายการรับซื้อเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพิ่มขึ้น
เป็น 5,000 ตัน โดยร่วมกับ
กอ.รมน.ภาค 3 ผ่านสมาคมศูนย์รับซื้อเชื้อเพลิงชีวมวลของ
จ.ลำปาง โดยจะรับซื้อใน จ.ลำปางเป็นหลักก่อน
หากไม่เพียงพอจะมีการรับซื้อจากจังหวัดใกล้เคียง เช่น เชียงใหม่ นครสวรรค์
ที่เป็นเครือข่ายของสมาคมในพื้นที่ภาคเหนือ
ขณะที่การใช้ชีวมวลอัดเม็ดเข้ามาเผาร่วมกับถ่านหินนั้น
แน่นอนว่าต้องมีข้อดีและข้อเสียเช่นกัน
ในเรื่องนี้ นางเกษศิรินทร์ ให้ข้อมูลว่า
ถ้าเทียบต้นทุนระหว่างชีวมวลอัดเม็ดกับถ่านหินลิกไนต์
ต้นทุนของชีวมวลอัดเม็ดจะสูงกว่า ถ่านหิน โดยต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน อยู่ที่
1.60 บาทต่อหน่วย ส่วนชีวมวลอัดเม็ด ประมาณ 2 บาทกว่าต่อหน่วย
แต่สัดส่วนของชีวมวลอัดเม็ดมีเพียง 2% ยังถือว่าไม่มาก
สิ่งที่ กฟผ.ได้คือการทำ CSR ร่วมกับชุมชน รวมทั้งช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อม
หมอกควัน ฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่
ถ้าในอนาคตสามารถเปลี่ยนโรงไฟฟ้าที่ปลดระวาง เช่น โรงไฟฟ้าเครื่องที่ 8 มาเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลได้ทั้งโรง
จะสามารถใช้เชื้อเพลิงชีวมวลถึง 1.3ล้านตัน เท่ากับการลดปัญหาฝุ่น PM2.5
ในพื้นที่ภาคเหนือได้เกือบทั้งหมด
สำหรับการใช้จ่ายงบประมาณ หัวหน้าโครงการแม่เมาะเมืองน่าอยู่
กล่าวว่า เนื่องจากยังไม่มีการปรับปรุงรายละเอียดโครงสร้างค่าไฟฟ้าดังที่กล่าวข้างต้น
จึงยังไม่สามารถใช้งบประมาณสำหรับจัดสรรเชื้อเพลิงต้องใช้งบประมาณ CSR เข้ามาช่วย ดังนั้น ในปี 2566 ได้ตั้งงบประมาณไว้ที่ 18 ล้านบาท
ถ้าเมื่อไรที่มีการเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มชนิดเชื้อเพลิงได้ถูกต้องตามระเบียบ
จากถ่านหินเป็นชีวมวลอัดเม็ด ก็จะสามารถใช้งบประมาณที่จัดสรรเชื้อเพลิงเข้าไปซื้อได้
ซึ่งมีคณะทำงานที่อยู่ระหว่างการศึกษาความคุ้มค่าในเรื่องนี้อยู่
เมื่อ
กฟผ.ประสบความสำเร็จในการทดลองใช้ชีวมวลอัดเม็ดแล้ว ก้าวต่อไปคือการต่อยอดไปยังชุมชนให้เป็นผู้ผลิตเอง
การผลิตชีวมวลอัดเม็ด (Biomass
pallet) หนึ่งในโครงการของ Mae Moh Smart City ด้าน Smart Energy ที่ กฟผ.แม่เมาะได้ปูรากฐานไว้แล้ว แต่การต่อยอดจะสำเร็จได้หรือไม่
อยู่ที่ความร่วมไม้ร่วมมือและความเข้มแข็งของชุมชน
ช่วยขยายแหล่งผลิตชีวมวลอัดเม็ดกระจายตามอำเภออื่นๆ.และตามหมู่บ้านให้มากๆครับ
ตอบลบ