ความรวดเร็ว และอำนาจการสื่อสารที่กระจายไปอยู่ในมือคนทั่วไป เหมือนเป็นอำนาจใหม่ที่ทรงพลังยิ่งกว่าอำนาจใดๆเท่าที่ผ่านมา ในด้านดีก็อธิบายได้ ด้วยเครื่องมือสื่อสารที่สามารถส่งผ่านภาพสาธารณะออกไปได้อย่างทั่วถึงและกว้างขวาง ในด้านร้ายก็มีการสร้างมายาคติให้ผู้คนหลงผิด เกลียดชังโดยไม่แยกแยะระบาดไปทุกหนแห่ง
พวกเขาใช้ความเห็น
ใช้อารมณ์ความรู้สึก ยิ่งกว่าความจริง
วันนี้สื่อสังคมออนไลน์
จึงมีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ไปแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้ เราต่างตกอยู่ภายใต้การครอบงำ
การบงการ การฉุดดึงให้ตกไปอยู่ในหล่มโคลนแห่งสังคมอุดมดราม่าไปอย่างไม่มีใครอาจช่วยได้
ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ดูเหมือนว่าสื่อสังคมออนไลน์ทุกช่องทางจะแทรกซึมเข้าไปในสายเลือดของคนไทย
จนพฤติกรรมการแสดงออกทางการแสดงความคิดเห็นของคนไทยดู “สุดขั้ว” ด้วยพฤติกรรมที่เสพติดสื่อออนไลน์
สถิติที่มาพร้อมกับการพัฒนาทางเทคโนโลยี
ทำให้โทรศัพท์มือถือธรรมดา
กลายเป็นมือถือแบบสมาร์ทโฟนที่ย่อโลกทั้งใบมาอยู่ในมือในราคาไม่แพง เมื่อปี2555 มีการสำรวจพฤติกรรมการเสพสื่อ
น่าตกใจที่เด็กไทยที่ใช้ไปกับสูงถึง 8-9ชั่วโมงใน 1 วัน ซึ่งอาจเทียบได้ว่าเวลาครึ่งชีวิตยามตื่นของเด็กไทย
ในระยะยาวอาจส่งผลต่อเวลาในการพักผ่อนที่ลดลง
และส่งผลกระทบต่อเวลาในการเรียนรู้ของเด็กให้ต้องด้อยประสิทธิภาพลงไป โดยใน 8 ชั่วโมงนี้ เด็กใช้เวลาคุยโทรศัพท์ หรือแชท Line Facebook ส่องเรื่องดาราไอดอลผ่าน
ทวิตเตอร์ อินสตราแกรม ไม่ต่ำกว่าวันละ 3 ชั่วโมง
แต่ที่น่าตกใจ
คือ จากรายงาน สรุปสภาวการณ์เด็กและเยาวชน 15 จังหวัด ภาคเหนือ ปี 2556 พบตัวเลขที่น่าตกใจ ว่า
เด็กและเยาวชนจังหวัดลำปางใช้สื่ออินเตอร์เนตและสื่อสังคมออนไลน์ เฉลี่ยวันละ 12 ชั่วโมง !!!
ในปี
2557 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้เฟสบุ๊คอยู่ 26 ล้านกว่าบัญชี จัดอยู่ในอันดับ 3
ของอาเซียน และในปี 2558 พบว่า คนไทยใช้ เฟสบุ๊ค 41 ล้านคน โตขึ้น 17% คิดเป็น 60%
ของประชากรไทย ส่วน Facebook
Page ไทย มีมากถึง 7
แสนเพจ
การแสดงความคิดเห็นในสื่อสังคมออนไลน์ทุกวันนี้
ดูจะเป็นมาตรการทางสังคมที่ใช้ในการกดดัน บีบเค้น ที่สังคมมองว่าใช้ได้ผล
แต่หากมองอีกมุมหนึ่งเราก็ต้องไม่ลืมว่าหลายความคิดเห็นออกไปในแนวรุนแรง คึกคะนอง
และสร้างวาทกรรมแห่งความเกลียดชังจนละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น
โดยที่เราไม่มีสิทธิที่จะไปทำเช่นนั้น
ก่อนหน้านี้มักจะมีประเด็นดราม่าดารามากมาย
ที่เกิดวาทะกรรม ปะ ฉะ ดะ จนไปจบที่โรงพัก ฟ้องร้องกันตามหน้าข่าวก็เยอะ อย่างกรณี
ตั๊ก บงกช ฉะแหลก กับบริษัทที่ให้บริการเช่าเหมาลำเรือยอชต์
มหากาพย์แห่งการตอบโต้จากกรณีภาพตั๊ก บงกช ในชุดว่ายน้ำวันพีช ในลีลาการโพสต์ท่าที่เธอมั่นใจตามแบบฉบับของเธอ
โดยสามีเป็นผู้ถ่ายภาพ ซึ่งเรื่องราวก็ไม่ควรจะมีอะไรผิดปกติ
เพราะเป็นถือเป็นช่วงเวลา และภาพนั้นเธอคิดว่าไม่ควรจะหลุดออกมาจากไลน์ของคนอื่น
หลายต่อหลายครั้งที่มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นในโลกโซเชียล
แล้วกลายมาเป็นข่าว โดยที่ข่าวนั้นไม่ได้มีคุณค่าข่าวอะไรนอกจากสนองความสะใจของผู้เสพข่าว
และหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน
ที่เรามักจะเห็นชาวเน็ตออกมาด่าไว้ก่อนที่ความจริงจะปรากฏ
กรณี
ดีเจเก่ง
ที่มีภาพคลิปที่ถอบรถชนเก๋งยาริสที่ถูกแชร์กระจายไปก่อนหน้านี้เป็นข่าวดังครึกโครม
ทุกหัวหนังสือพิมพ์ ทีวีทุกช่อง
สื่อออนไลน์ทุกชนิดรายงานสถานการณ์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ซึ่งจากคลิปที่บันทึกภาพที่ดีเจเก่งถอยรถกระบะชนรถเก๋งคู่กรณีก็เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะดำเนินคดีและเอาผิดตามกฎหมายได้อยู่แล้ว
แต่เหตุการณ์ไม่จบเช่นนั้น สังคมดูเหมือนจะมีการ “ล่าแม่มด” ขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตว่าเคยไปประกวดอะไร
ทำงานที่ไหน มีลูก เมีย ด่าทอไปถึงพ่อแม่
ราวกับว่าจะไล่ล่าไม่ให้อีกฝ่ายได้มีที่ยืนในสังคมได้อีกต่อไป
และล่าสุด
กรณี “น๊อต รถมินิ” เจ้าของแฮชแท็ค #กราบรถ ที่สร้างปรากฏการณ์อีกครั้ง แน่นอนว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้หนุ่มอารมณ์ร้อนชกหน้าและด่าคู่กรณีที่เฉี่ยวชนรถด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
แต่การทำร้ายร่างกายโดยเจตนาเป็นสิ่งที่รุนแรงประกอบกับคอมเมนท์ทางโลกโซเชียลที่เต็มไปด้วยอารมณ์
จนไปกระทบถึงร้านอาหารญี่ปุ่นที่หนุ่มน็อตเป็นหุ้นส่วนที่ชาวเน็ตเข้าไปถล่มเพจของร้านด้วยถ้อยคำที่รุนแรง
รวมไปถึงด่าพ่อแม่ของหนุ่มน็อต มีคนบุกไปปาไข่ที่ร้านและที่บ้าน
ซึ่งแน่นอนว่าคนรอบข้างหนุ่มน็อตไม่ได้มีความผิดและเกี่ยวข้องอะไรด้วย
คล้ายจะพุ่งเป้าทำให้ชายหนุ่มคนนี้ไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป
และหากสังคมยังอุดมดราม่าแบบนี้เรื่อยๆ
ใช้การประณามมากำจัดความชั่วแทนที่จะใช้สติและกฎหมาย
แบบนี้ใครที่สร้างกระแสจุดไฟให้ติดได้
สังคมก็คงจะก้าวย่ำอยู่ที่เดิมที่ๆมีแต่วาทกรรมแห่งความเกลียดชัง ตลอดไป
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1104 วันที่ 11-17 พฤศจิกายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น