โรคตับอักเสบนับเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้คนทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย ซึ่งโรคนี้สามารถป้องกันและรักษาได้ หากได้รับการตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เริ่มมีอาการ ดังนั้นทุกคนควรใส่ใจดูแลสุขภาพตับ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดี
นพ.ดำรงค์ สุกิจปัญญาโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ กล่าวว่า โรคไวรัสตับอักเสบ ยังคงเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตมากกว่า 1 ล้านคนต่อปีทั่วโลก สำหรับประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 2–3 ล้านคน และติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีเรื้อรัง ประมาณ 350,000 ราย ทั่วประเทศ โรคไวรัสตับอักเสบมิได้เพียงเป็นโรคติดเชื้อธรรมดา แต่เป็นสะพานนำไปสู่มะเร็งตับ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ในฐานะสถาบันการแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็ง ได้ให้ความสำคัญกับการป้องกันและรักษาอย่างจริงจัง ตามพระปณิธานขององค์ประธานผู้ทรงจัดตั้งโรงพยาบาลแห่งนี้ เพื่อการช่วยเหลือและบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ป่วย ข่าวดีในปัจจุบัน คือเราสามารถชนะโรคนี้ได้ เนื่องจากวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี มีประสิทธิภาพสูงถึง 95% ในการป้องกันการติดเชื้อ ส่วนไวรัสตับอักเสบซี สามารถรักษาให้หายขาดได้ถึง 99% ด้วยยาสมัยใหม่ที่ใช้เวลาเพียง 8-12 สัปดาห์
พญ.อัญญา เกียรติวีระศักดิ์ แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ กล่าวว่า “ไวรัสตับบี คือ เชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง เป็น DNA virus ที่มีความแข็งแรงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นาน เป็นเชื้อทำให้ก่อโรคตับอักเสบชนิดบี ซึ่งเป็นโรคติดเชื้อที่สำคัญของตับ หากเกิดภาวะตับอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และไม่ได้รับการรักษาอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับได้ในระยะยาว โดยไวรัสตับบีประมาณ 90% ติดจากแม่สู่ลูกตอนคลอด แต่ก็สามารถมาติดตอนโตได้ โดยการติดเชื้อผ่านเลือดและสารคัดหลั่งของผู้ที่มีเชื้อ โดยการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกัน เช่น ใช้เข็มฉีดยาหรือของมีคมร่วมกัน การรับเลือด หรือการปลูกถ่ายอวัยวะ ดังนั้น สำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อหรือถ้ายังไม่มีภูมิคุ้มกัน จึงขอแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี หากเราเป็นพาหะของโรคนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยงการบริจาคเลือด ดังนั้น คนไทยทุกคนควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบีอย่างน้อย 1 ครั้งในชีวิต โดยเฉพาะผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 เพราะก่อนหน้านั้นยังไม่มีการฉีดวัคซีนไวรัสตับบีในเด็กแรกเกิดอย่างทั่วถึง
นพ.กฤต หมัดแสละ แพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์การเดินทางและท่องเที่ยว กล่าวเสริมเกี่ยวกับวัคซีนว่า “กรณีฉีดวัคซีนไม่ครบ หรือฉีดนานแล้ว ขอแนะนำให้ฉีดเข็มที่เหลือให้ครบ ไม่ต้องเริ่มใหม่ ส่วนผู้ที่ฉีดวัคซีนครบ 10 ปีแล้ว ภูมิอาจลดลงแต่ยังมีความจำภูมิ ไม่จำเป็นต้องฉีดซ้ำ เว้นแต่ว่าอยู่ในกลุ่มเสี่ยง และไม่แน่ใจว่าเคยฉีดหรือไม่ ทั้งนี้ ขอแนะนำตรวจเลือด HBsAg + Anti-HBs ก่อนวางแผนฉีดวัคซีน ส่วนผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง ควรฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบ A ซึ่งโรคนี้ติดจากการดื่มน้ำและรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส หากเราจะป้องกันตับอักเสบจากเชื้อไวรัส A ซึ่งอาจรุนแรงในคนที่มีโรคตับอยู่เดิม ขอแนะนำให้ฉีดวัคซีน 2 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน ส่วนวัคซีนไวรัสตับอักเสบ B สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำซ้อนที่ทำให้ตับอักเสบรุนแรงขึ้นตรวจภูมิก่อน ถ้าไม่มีภูมิ แนะนำฉีด 3 เข็ม วัคซีนไข้หวัดใหญ่ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากไข้หวัดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้ตับแย่ลง แนะนำฉีดปีละ 1 ครั้ง วัคซีนไข้เลือดออก ที่มีสาเหตุมาจากยุงลาย หากติดเชื้อมีความเสี่ยงทำให้ตับวายได้ ขอแนะนำฉีด 2 เข็มห่างกัน 3 เดือน วัคซีนป้องกันปอดอักเสบ ลดความเสี่ยงปอดติดเชื้อรุนแรง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยตับเรื้อรัง ทั้งนี้ การฉีดวัคซีนมีแนวทางการฉีดหลายรูปแบบ จึงแนะนำว่าควรพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำ วัคซีนโควิด-19 ผู้ป่วยตับเรื้อรังอาจมีอาการรุนแรงจากโควิด-19 ควรฉีดตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข และวัคซีนงูสวัด ป้องกันการเกิดงูสวัดรุนแรง โดยเฉพาะในผู้ที่อายุมากหรือภูมิคุ้มกันต่ำ สำหรับอายุ 50 ปี หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง”
นพ.วรวัฒน์ แสงวิภาสนภาพร หัวหน้างานอายุรกรรมทางเดินอาหาร แพทย์เฉพาะทางด้านอายุรศาสตร์ทางเดินอาหารและตับ เปิดเผยถึงอุบัติการณ์ไวรัสตับอักเสบและมะเร็งตับ (Global vs Thailand) ว่า “ข้อมูลล่าสุด ปี 2022 มีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเรื้อรัง ทั้งไวรัสตับอักเสบบีและซีเรื้อรังสะสมอยู่ประมาณ 300 ล้านคน ในประชากรเหล่านี้เป็นไวรัสตับอักเสบบีประมาณ 250 ล้านคน พบผู้ป่วยรายใหม่กว่า 2 ล้านรายต่อปี (ข้อมูลจาก GLOBOCAN 2022) พบบ่อยในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จีนและในประเทศไทย คาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังอยู่ประมาณ 2-4% ของประชากรไทย อยู่ที่ประมาณ 2 ล้านคน และไวรัสตับอักเสบซีอยู่ที่ประมาณ 0.3-0.6% หรือประมาณ 300,000 กว่าคน โดยมีแนวทางการกำจัดไวรัสตับอักเสบบี (HBV Elimination Goals) โดยเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งเป้าลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลง 90% ลดอัตราการเสียชีวิตจากไวรัสตับลง 65% ลดทุกอุปสรรคทางสังคม ระบบการเข้าถึงการป้องกัน คัดกรอง และการรักษา ซึ่งมีกลยุทธ์หลัก คือ การฉีดวัคซีนไวรัสตับบี การตรวจคัดกรอง (Screening) การให้ยาต้านไวรัส (Tenofovir, Entecavir) และการเฝ้าระวังมะเร็งตับในผู้ติดเชื้อ HBV เรื้อรัง ส่วนภาพรวมการรักษาโรคมะเร็งตับ (Liver Cancer Treatment) ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้ ระยะของโรค (Early vs Advanced) สภาพตับ (เช่น ตับแข็งหรือไม่) ภาวะสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย”
ทั้งนี้ ท่านที่สนใจเข้ารับการปรึกษาโรคระบบทางเดินอาหารและตับ สามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้ที่ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ สอบถามเพิ่มเติม โทร 1118 และสำหรับผู้รับบริการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ที่มีประวัติการรักษา หรือ HN เพื่อความสะดวกและไม่พลาดทุกการแจ้งเตือน สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน CHULABHORN HEALTH PLUS ได้ทาง App store และ Google Play store
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น