- ยุติโครงการ
MMRP2 – ปรับกลยุทธ์ “ซ่อมแทนสร้าง”
นายสุทธิพงษ์
เฉลิมเกียรติ ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า 2 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
เปิดเผยว่า โครงการโรงไฟฟ้าแม่เมาะทดแทนเครื่องที่ 8-9 (MMRP2) ได้ยุติการดำเนินการแล้ว หลังไม่สามารถหาผู้พัฒนาโครงการได้ โดย
กฟผ.จึงทำหนังสือขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีที่อนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้
เพื่อคงกำลังการผลิตไฟฟ้าในพื้นที่ไว้ที่ 1,200
เมกะวัตต์ กฟผ.จึงตัดสินใจปรับปรุงโรงไฟฟ้าเก่าหน่วยที่ 12 และ 13 จากเดิมหน่วยละ
300 เมกะวัตต์ ให้สามารถเดินเครื่องผลิตได้ต่อเนื่องอีกระยะ รวมกำลังผลิต 600
เมกะวัตต์ ใช้ระยะเวลาดำเนินงานรวมประมาณ
6 ปี
- รับมือกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่
ปี 2575
สาเหตุหลักในการปรับปรุง
เนื่องจากกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับใหม่ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2575
กำหนดให้โรงไฟฟ้าทุกแห่งต้องควบคุมค่ามลสารให้อยู่ในระดับที่เข้มงวดกว่าเดิม
โดยค่ากำมะถัน (SO₂) ต้องลดจาก 320 ppm เหลือ 150 ppm, ไนโตรเจนออกไซด์ (NOₓ) จาก 500 เหลือ 200 ppm และฝุ่นละอองจาก 180
เหลือเพียง 30 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
รวมถึงเพิ่มข้อกำหนดใหม่เรื่องสารปรอทไม่เกิน 0.03 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
“เราจะใช้เทคโนโลยีเดิม ปรับปรุงเฉพาะส่วนระบบควบคุมมลพิษ
เพื่อให้ผ่านตามกฎหมายใหม่ ประสิทธิภาพการผลิตยังใกล้เคียงของเดิม
การใช้ถ่านหินเท่าเดิม เพียงแต่ปล่อยมลพิษลดลงกว่าครึ่ง” นายสุทธิพงษ์
กล่าว
- แผนดำเนินงาน
6 ปี – ทดแทนหน่วย 8 และ 11
โครงการปรับปรุงใช้เวลารวมประมาณ
6 ปี แบ่งเป็นช่วงศึกษาความเป็นไปได้และจัดทำรายงาน EHIA
ประมาณ 2 ปีครึ่ง และช่วงก่อสร้างปรับปรุงจริงราว 3 ปีครึ่ง ระหว่างดำเนินการ กฟผ.ได้เลื่อนการปลดระวาง
หน่วย 8 และ 11 ออกไป เพื่อให้ผลิตไฟฟ้าทดแทนได้ต่อเนื่องจนกว่า 12 และ 13
จะปรับปรุงเสร็จสมบูรณ์
ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า
2 ระบุว่า ณ เวลานี้เราผลิตอยู่ 2400
เมกะวัตต์ พอ 1มกรา ปีหน้ามันจะเหลือแค่ 1200
เมกะวัตต์ ก็คือ
ปริมาณถ่านที่เรามีสำรองลดลง จำเป็นจะต้องลดกำลังการผลิตลงด้วยตามปริมาณถ่านที่มี
- งบลงทุน
25,000 ล้าน – ประหยัดกว่าครึ่งจากโครงการเดิม
งบประมาณในการปรับปรุงโรงไฟฟ้าครั้งนี้อยู่ที่ประมาณ
25,000 ล้านบาท น้อยกว่าการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ (MMRP2)
ที่เคยวางไว้กว่า 45,000 ล้านบาท นอกจากจะลดต้นทุนแล้ว
ยังช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องจักรที่ได้รับการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องมากว่า 36
ปี
- ค่ามลพิษน้ำต่ำกว่ามาตรฐาน
– ปลอดภัยต่อชุมชน
ด้านสิ่งแวดล้อม
ในเรื่องน้ำ กฟผ.แม่เมาะยืนยันว่าไม่มีผลกระทบต่อชุมชน โดยค่ามาตรฐานหลัก 4
รายการต่ำกว่ากฎหมายกำหนดมาก ได้แก่ TDS (ของแข็งละลายรวม)
ต่ำกว่า 1,000 ppm จากเกณฑ์ 3,000 ppm COD (ค่าออกซิเจนที่ใช้ได้)
ประมาณ 20–40 มก./ลิตร จากเกณฑ์ 120 Suspended Solids ต่ำกว่า 10
มก./ลิตร จากเกณฑ์ 50 และค่า pH อยู่ระหว่าง 7–8
ถือเป็นกลางและปลอดภัย ทั้งนี้
ปริมาณน้ำที่ใช้และปล่อยออกจะลดลงตามกำลังการผลิตที่ลดลงด้วย
- ผลกระทบต่อกองทุนพัฒนาไฟฟ้า
ปัจจุบัน
กฟผ.แม่เมาะมีกำลังผลิต 2,400 เมกะวัตต์ สร้างรายได้เข้ากองทุนพัฒนาไฟฟ้าราว 350–360 ล้านบาทต่อปี เมื่อกำลังผลิตลดลงครึ่งหนึ่ง
เงินกองทุนอาจลดเหลือราว 180 ล้านบาทต่อปี
แต่ยังถือเป็นงบก้อนใหญ่เพื่อใช้พัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม
การศึกษา และอาชีพ
และเพื่อให้ชุมชนมีความยั่งยืนหลังยุคถ่านหิน
กฟผ.ได้จัดตั้งโครงการ “แม่เมาะสมาร์ทซิตี้” เป็นศูนย์กลางส่งเสริมอาชีพ พัฒนาทักษะ
และสร้างรายได้ให้ชุมชนหลังจากโรงไฟฟ้าและเหมืองปิดดำเนินการ
เพื่อให้คนแม่เมาะยังคงมีชีวิตและอาชีพมั่นคง
- เดินหน้าสู่นโยบาย
“คาร์บอนนิวทรัล”
การปรับปรุงโรงไฟฟ้าครั้งนี้เป็นหนึ่งในแนวทางลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
(CO₂) สอดคล้องกับนโยบาย Carbon Neutrality 2050
ของประเทศและของ กฟผ. นอกจากลดกำลังผลิตลงครึ่งหนึ่งแล้ว
กฟผ.ยังวิจัยนวัตกรรมดักจับคาร์บอนจากวัสดุเหลือใช้ เช่น นำน้ำขี้เถ้ามาใช้ดักจับ CO₂ นำขี้เถ้าก้นเตามาผลิตวัสดุก่อสร้างชนิดใหม่
“จีโอพอลิเมอร์” (Geopolymer) ซึ่งสามารถดูดซับ
CO₂ จากก๊าซไอเสีย
“การปรับปรุงโรงไฟฟ้าแม่เมาะหน่วยที่
12–13 ไม่เพียงต่ออายุการเดินเครื่อง
แต่ยังยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมให้เทียบเท่าสากล
และเดินหน้าไปพร้อมกับเป้าหมายพลังงานสะอาดของประเทศ” ผู้ช่วยผู้ว่าการผลิตไฟฟ้า
2 กล่าวทิ้งท้าย.