เป็นที่รู้กันดีว่า
สองฟากฝั่งแม่น้ำวังตั้งแต่อำเภอแม่พริก อำเภอเถิน อำเภอสบปราบ อำเภอเกาะคา
ไปจนถึงอำเภอเมืองฯ นั้น เรียงรายไปด้วยหมู่บ้านที่เคยเป็นจุดแวะพักรายทางของพ่อค้าเร่
นอกจากชุมชนตลาดจีน
หรือกาดกองต้า ยังมีหมู่บ้านอีกแห่งหนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในย่านอำเภอแม่พริก
นั่นคือบ้านต้นธง หมู่บ้านขนาดใหญ่มากกว่า 500 หลังคาเรือนนี้
เคยเป็นย่านการค้าริมแม่น้ำวังที่คึกคักมากมายไปด้วยพ่อค้าเร่จากทั่วสารทิศ
เพราะที่นี่เป็นทั้งจุดพักเรือและพักรถที่ขึ้นล่องเส้นทางลำปาง-นครสวรรค์
ย้อนกลับไปในปี
พ.ศ. 2408
พื้นที่รกร้างริมแม่น้ำวังบริเวณที่เป็นบ้านต้นธงในปัจจุบัน
ถูกบุกเบิกครั้งแรกโดยคนจาก 3 ครอบครัวที่อพยพมาจากบ้านแม่ปุ
พวกเขาเดินเท้ามา 2 กิโลเมตร
พร้อมหอบความหวังว่าชีวิตข้างหน้าจะดีกว่านี้
ตระกูลลีลาศ
ตระกูลวงศ์ไชยสิทธิ์ และตระกูลทิตวงศ์ ช่วยกันหักร้างถางพงสร้างบ้านเรือน 3 หลัง
ขณะเดียวกันพวกเขาก็เห็นต้นปอธงสูงใหญ่อยู่ฝั่งตรงข้าม
จึงพากันตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่แห่งนี้ว่า “บ้านต้นธง” โดยมีแม่น้ำวังเป็นดังสายเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงพืชไร่และชีวิต ปลาแม่น้ำวังจำนวนมหาศาลราวกับว่าจับกินได้ไม่มีวันหมด
ถัดไปไม่ไกลในราวป่า ยังมีทั้งเก้ง หมูป่า และไก่ป่า เป็นแหล่งโปรตีน ไม่นานหมู่บ้านจึงเริ่มขยับขยาย
มีคนต่างถิ่นจากลำพูน เถิน ตาก และกำแพงเพชร ย้ายเข้ามาอยู่ร่วม
บ้านเก่าที่นี่ส่วนใหญ่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง
สะท้อนให้เห็นความสมบูรณ์ของป่าไม้เมืองเหนือในอดีตได้อย่างดี บ้านสองชั้นบ้าง
ชั้นเดียวบ้าง เบียดชิดกันอยู่เต็มสองฟากถนนจนกล่าวได้ว่า
บ้านต้นธงมีพื้นที่ที่ยาวขนานไปกับแม่น้ำวังมากที่สุดในบรรดาหมู่บ้านริมแม่น้ำอื่น
ๆ ของเมืองลำปาง แต่ละหลังใช้ไม้สักจากแหล่งบ้านโป่งขามและห้วยขี้นก โดยชาวบ้านจะนำเกวียน
หรือช้างไปลากมา หลังจากนั้นก็จ้างช่างจากเมืองแพร่ หรือไม่ก็จากอำเภอแม่ทะมาสร้าง
เพราะเชื่อกันว่าเป็นช่างไม้ที่มีทักษะมาก บ้านหลังหนึ่งใช้เงินราว ๆ แสนกว่าบาท
ใช้เวลาสร้าง 2
เดือน
บ้านไม้แต่ละหลังของบ้านต้นธงเป็นงานไม้ที่เปี่ยมไปด้วยประโยชน์ใช้สอย
ดูสมถะ ไม่ได้หรูหราอลังการดังเช่นบ้านเก่าในย่านตลาดจีน
มีเพียงประตูบานเฟี้ยมยาวเหยียด แผงกันสาดกับช่องลมฉลุลวดลายแต่พองาม
ซึ่งนี่เองคือเสน่ห์ของบ้านไม้ในแบบของบ้านต้นธง
ขณะที่หลายครอบครัวตั้งตัวได้จากการล่องเรือขายสินค้าชนิดที่เรียกได้ว่าขายกันตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ
บางครอบครัวเลือกที่จะเลี้ยงครั่ง ว่ากันว่า
บ้านต้นธงคือแหล่งครั่งที่ใหญ่ที่สุดแหล่งหนึ่งในยุคนั้น
บางครอบครัวเลี้ยงครั่งถึง 50 กว่าไร่
และถึงกับต้องปลูกบ้านไว้เก็บครั่งกันเลยทีเดียว
เมื่อก่อนคนเลี้ยงครั่งรู้ดีว่า
4 ปีจึงจะปล่อยครั่งได้ครั้งหนึ่ง ต้นครั่ง
หรือต้นฉำฉาจะถูกตัดกิ่งก้านออกจนเกือบหมด ทั้งนี้ ต้นฉำฉามีน้ำเลี้ยงมาก
แตกกิ่งเร็ว โตเร็ว อันที่จริงต้นมะเดื่อกับต้นลำไยก็ใช้เลี้ยงครั่งได้
แต่น้ำเลี้ยงน้อยกว่าต้นฉำฉา จึงไม่เป็นที่นิยม โดยชาวบ้านจะเลือกเก็บเฉพาะส่วนที่เป็นปุ่มปมล่องเรือไปขายยังนครสวรรค์
ส่วนแม่ครั่งจะนำไปขยายพันธุ์ต่อ ต้นหนึ่งถ้าได้ครั่งสัก 400-500 กิโลกรัมก็น่าดีใจแล้ว อย่างไรก็ตาม เรื่องสภาพอากาศก็มีผล หากปีไหนลมแรง
ตัวครั่งจะปลิวไปตามสายลมจนหมด
เล่ากันว่า
แถบบ้านต้นธงและใกล้เคียงเป็นจุดที่ลมแรงจัด
บางบ้านกั้นห้องใต้ดินไว้หลบลมโดยเฉพาะ ดังนั้น เมื่อย่างเข้าเดือน 6 แต่ละบ้านจะเตรียมวิธีรับลมแรงในแบบเฉพาะของตนเอง
บ้างนำเห็ดลมมาแขวนไว้หน้าบ้านเพื่อกันลม นี่เป็นความเชื่อที่ตกทอดกันมานานแล้ว
หากไม่ใช้เห็ด ก็ฝังเกลือเม็ดไว้ตามมุมบ้านได้
แต่ต้องทำก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นเพื่อไม่ให้ใครเห็น เพราะวิธีนี้ห้ามคนมาทักเด็ดขาด
ขณะที่บางบ้านนำเหล้าขาวใส่ขวดเล็ก ๆ ตั้งไว้
การเลี้ยงครั่งของคนบ้านต้นธงค่อย
ๆ ล้มเลิกไปภายหลังการมาถึงของพลาสติก หลายครอบครัวหันไปปลูกส้มเกลี้ยงที่ให้ราคาดีกว่าครั่งหลายเท่า
บางครอบครัวย้ายไปอยู่ที่อื่น บ้านไม้หลายหลังถูกปิดตาย
ประตูบานเฟี้ยมที่เคยเปิดกว้างวันนี้ปิดเงียบ
บ้านบางหลังถูกรื้อทิ้งอย่างน่าเสียดาย ใช่เพียงเสียดายเนื้อไม้
หากแต่อาลัยฤดูกาลที่ตกสะท้อนอยู่ในนั้น
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 971 ประจำวันที่ 4 - 10 เมษายน 2557)