คล้ายแผ่นดินไหวที่เชียงราย
สะเทือนเลื่อนลั่นมาถึงลำปาง การประกาศกฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักรของพล.อ.ประยุทธ์
จันทร์โอชา ก็ย่อมส่งแรงเหวี่ยงมาถึงที่นี่อย่างปฎิเสธไม่ได้
โดยเฉพาะประกาศจัดการวิทยุชุมชนเถื่อน ในนามของกองทัพย่อมมีอานุภาพรุนแรงกว่า
การทำงานแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆของ กสทช.หลายเท่า ถึงกระนั้นก็ยังคงมีคำถาม
เป็นคำถามว่าอำนาจจากปลายกระบอกปืนนี้จะจีรังยั่งยืนแค่ไหน
เมื่อกระแสเสียงคัดค้านดังกระหึ่มขึ้นทุกขณะ
การประกาศกฎอัยการศึก
ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ครั้งนี้แม้ไม่เรียกว่าการปฎิวัติ
แต่ก็มีส่วนคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง และแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
จะมิใช่หัวหน้าคณะปฎิวัติ แต่การให้อำนาจฝ่ายทหารเหนือพลเรือนอย่างเบ็ดเสร็จ
ในสถานการณ์ที่ไร้รัฐบาลที่ชอบธรรม พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมมีอำนาจสูงสุดในประเทศยามนี้
มากไปเสียกว่า อำนาจตามพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร
มากกว่าพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินเสียอีก
นั่นคืออำนาจครอบจักรวาล
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย
มีคำสั่งฉบับหนึ่ง ห้ามการเสนอข่าว แจกจ่าย จำหน่ายสิ่งพิมพ์
ที่ส่งผลกระทบต่อการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
ในวันเดียวกับวันที่ประกาศกฎอัยการศึก โดยมีเนื้อหาสำคัญ ห้ามนำเสนอข่าวสาร
ทั้งในรูปแบบของเอกสาร ภาพ สื่อสิ่งพิมพ์ การออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์กระจายเสียง
สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมและเคเบิล สถานีวิทยุกระจายเสียง และสถานีวิทยุชุมชน
ตลอดจนการนำเสนอข่าวผ่านสื่อออนไลน์
ที่มีเจตนาบิดเบือน
ปลุกระดมให้สร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย แตกแยก
หรือมีข้อความอันอาจทำให้ประชาชน
เกิดความหวาดกลัว การเข้าใจผิด
จากนั้นได้สั่งห้ามการเผยแพร่ออกอากาศทั้งหมด ของสถานีโทรทัศน์หลายช่อง
และวิทยุชุมชนที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย
และยังมีคำสั่งห้ามมิให้สื่อมวลชน
เชิญบุคคลที่ทหารไม่พึงประสงค์มาออกรายการด้วย
คำสั่งเช่นนี้
ไม่แตกต่างจากคำสั่งคณะปฎิวัติที่ต้องประกาศเป็นลำดับต้นๆ หลังยึดอำนาจ
คือให้หัวหน้าส่วนราชการรายงานตัว
สั่งห้ามสื่อเผยแพร่ข่าวหรือข้อความอันอาจมีผลกระทบต่อความมั่นคง
ยกเว้นยังไม่มีคำสั่งยกเลิกบังคับใช้รัฐธรรมนูญ
การยึดหรืออายัดทรัพย์สินนักการเมืองที่ทุจริต คอรัปชั่น
ปฎิบัติการประกาศกฎอัยการศึก
ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองใกล้จะถึงจุดสงครามกลางเมืองครั้งนี้ เป็นการ “โยนหินถามทาง”และป้องปรามเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นจากการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย
โดยเฉพาะเมื่อปรากฏข่าวการพบอาวุธสงครามจำนวนมากที่คาดว่าจะเดินทางมายังใจกลางมหานคร ดังนั้น ในห้วงระยะเวลาสั้นๆนี้
จึงนับว่าเป็นความยินดีของคนกลุ่มหนึ่งที่ถูกกดดันอยู่ภายใต้ภาวะความไม่แน่นอน
และสังคมที่ไร้ระเบียบมายาวนาน ให้พอมีช่องหายใจ ได้คลายความวิตกจริตลงบ้าง
เป้าหมายระยะสั้นของผู้ก่อการประกาศกฎอัยการศึก คือ ความพยายาม “กุมสภาพ” ให้ได้
ในขณะเดียวกันก็เป็นการตรวจสอบกำลังรบ ตรวจแถวทหาร ประเมินกำลังข้าศึก
ก่อนที่จะก้าวข้ามไปขั้นตอนต่อไป นั่นคือจัดการให้รัฐบาลรักษาการขาดๆวิ่นๆนี้ออกไป
หาวิธีการที่จะให้มีรัฐบาล และนายกรัฐมนตรีเฉพาะกาลโดยผ่านวุฒิสภา
โดยในระหว่างดำเนินการทั้งหมดนี้ จะต้องให้ปรากฏภาพความเป็นร่างเงา
กปปส.ให้น้อยที่สุด หรือไม่มีเลย แน่นอนนี่ย่อมเป็นเรื่องเข้าใจได้
แต่ประเด็นสำคัญ ที่ผมและเพื่อนพ้องในองค์กรวิชาชีพทั้งหลายที่ได้รับเชิญจากกลุ่มผู้ก่อการ
ยืนยันคือจะไม่ไปรายงาน หรือแม้ปรากฎตัวในที่ทำการของคณะผู้ประกาศกฎอัยการศึก
คือ
เราไม่ยอมรับการละเมิดหลักการพื้นฐานเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน
แม้จะอ้างเรื่องความมั่นคง หรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม ประการหนึ่งหน่วยงานของรัฐ
ไม่ว่าจะเป็น กสทช.หรือตำรวจ มีอำนาจจัดการได้ตามกฎหมายที่มีอยู่ ประการหนึ่ง
บริบททางสังคมหรือภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะปิดกั้นอย่างไร
ก็ไม่มีทางที่จะทำได้อยู่แล้ว ตรงกันข้าม
ยิ่งปิดกั้นก็จะเกิดปฎิกริยาต่อต้านรุนแรงมากขึ้น
รัฐธรรมนูญมาตรา 45 ตราไว้ชัดเจนว่า การสั่งปิดกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเพื่อลิดรอนเสรีภาพ
จะกระทำมิได้
การห้ามหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนอื่นเสนอข่าวสารหรือแสดงความคิดเห็นทั้งหมดหรือบางส่วน
หรือการแทรกแซงด้วยวิธีการใดๆ เพื่อลิดรอนเสรีภาพจะกระทำมิได้
ผมไม่เห็นว่า การปิดกั้น หรือลิดรอนเสรีภาพของสื่อครั้งนี้
จะมีผลในทางปฎิบัติอย่างไร เพราะกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่แบ่งเป็นสองฝ่ายนั้น
คือกลุ่มการเมืองหรือกลุ่มที่มีความเชื่อและมีความภักดีอย่างเหนียวแน่นกับผู้นำของเขาอยู่แล้ว
และที่สำคัญที่สุด นี่เป็นการละเมิดหลักการขั้นพื้นฐานของประเทศประชาธิปไตย
ไม่มีเสรีภาพก็ไม่มีประชาธิปไตย ที่จะมีผลก็คงเป็นเพียงไล่ล่าวิทยุชุมชนเถื่อน
ที่ก่อนหน้านี้ทำตัวเป็นสังฆราชสั่งสอนผู้คนเขาไปทั่วเท่านั้น
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 979 ประจำวันที่ 23 - 29 พฤษภาคม 2557)
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 979 ประจำวันที่ 23 - 29 พฤษภาคม 2557)