กุลธิดา
สืบหล้า....เรื่อง
ณ
สถานที่ที่มืดมิดที่สุดแห่งหนึ่งบนพื้นโลก ความมืดทำให้ที่นี่แตกต่างออกไป
ในขณะที่สิ่งมีชีวิตบนพื้นโลกได้รับความอบอุ่นและแสงสว่างจากดวงอาทิตย์
สิ่งมีชีวิตอีกโลกหนึ่งกลับอยู่กับความมืด ซึ่งเป็นความมืดที่คงอยู่มานานนับล้านปี
สถานที่แห่งนี้เรารู้จักกันดีว่ามันคือ “ถ้ำ”
จอห์น ดังคลีย์
นักสำรวจถ้ำชาวออสเตรเลีย ได้รวบรวมรายชื่อถ้ำในประเทศไทยเอาไว้ทั้งหมดประมาณ 2,000 ถ้ำ
ในจำนวนนี้เป็นถ้ำที่อยู่ในภาคเหนือ 450 ถ้ำ ทั้งนี้
นักสำรวจรุ่นบุกเบิกที่เข้ามาสำรวจในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา
และได้ทำแผนที่ถ้ำในภาคเหนืออย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรก ได้แก่
ทีมสำรวจถ้ำจากประเทศออสเตรเลียและฝรั่งเศส ทำให้พบถ้ำใหม่ ๆ หลายถ้ำ โดยถ้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในภาคเหนือ
ได้แก่ ถ้ำเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ และถ้ำลอด จังหวัดแม่ฮ่องสอน
ที่รับนักท่องเที่ยวมากกว่า 100,000 คน ต่อปี
ด้วยความที่ถ้ำที่สำรวจพบในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ทางภาคเหนือ
ถ้ำเหล่านี้จึงถูกพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีการทำทางเดินและติดไฟฟ้าภายในถ้ำ
เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเที่ยวชมได้อย่างสะดวกสบาย ถ้ำผาไทในเขตอุทยานแห่งชาติถ้ำผาไทของจังหวัดลำปางเราก็ถูกจัดอยู่ในประเภทถ้ำท่องเที่ยวเช่นกัน
และยังนับเป็นถ้ำที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งในภาคเหนือ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เคยเสด็จประพาส
และได้ทรงจารึกอักษรพระปรมาภิไธย ป.ป.ร. บนผนังหินที่ปากถ้ำ
จากที่จอดรถของอุทยานฯ
มีบันไดทางขึ้นไปสู่ปากถ้ำ ซึ่งอยู่ที่เชิงหน้าผารูปเกือกม้า
ล้อมรอบด้วยป่าเขียวชอุ่ม ตรงกลางมีเจดีย์โบราณ ปากถ้ำมีขนาดใหญ่
มองเห็นพระพุทธรูปและหินงอกสูงประมาณ 20 เมตร
มีแสงสว่างเป็นลำแสงจากหน้าต่างถ้ำด้านบน ภายในมีทางเดินและไฟฟ้าที่ซ่อนไว้ตามจุดต่าง
ๆ ยาวประมาณ 350 เมตร
เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้โดยสะดวก โถงถ้ำส่วนใหญ่เป็นถ้ำแห้ง
มีเพียงบางที่เท่านั้นที่ยังมีการพัฒนาของหินงอก หินย้อย
โถงหลักมีอากาศถ่ายเทดีพอสมควร
แต่บางส่วนที่เป็นจุดอับของถ้ำเคยมีการสำรวจวัดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงถึง 6.5
เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าอากาศปกติถึงกว่า 100 เท่า
นั่นหมายถึงสภาวะอากาศที่เป็นพิษ
นักท่องเที่ยวจึงควรเดินตามเส้นทางที่กำหนดไว้เท่านั้น
นักสำรวจถ้ำเปิดเผยด้วยว่า โถงย่อยบางส่วนของถ้ำผาไทมีตะกอนถ้ำ
ซึ่งเป็นชั้นของเถ้าภูเขาไฟ จากการพิสูจน์อายุโดยใช้เทคนิคโพแทสเซียม / อาร์กอน
พบว่า เถ้านี้มีอายุประมาณ 9.36 ล้านปี หากสามารถพิสูจน์ได้ว่า
เถ้าภูเขาไฟนี้เป็นการตกตะกอนชนิดปฐมภูมิและไม่ได้ถูกนำพาเข้ามาเมื่อไม่นานมานี้ นั่นหมายความว่า
ถ้ำผาไทเป็นถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
แม้ถ้ำจะเป็นพื้นที่ที่ลี้ลับ
แต่เราก็รู้กันดีว่า ถ้ำเป็นพื้นที่ที่เปราะบางมากที่สุดด้วยเช่นกัน
มันมีระบบทางธรณีวิทยาและชีววิทยาที่ซับซ้อน เพราะผ่านการพัฒนามาอย่างยาวนาน สิ่งมีชีวิตในถ้ำจึงล้วนแล้วแต่มีความพิเศษ
ดังนั้น ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับถ้ำจึงไม่สามารถแก้ไขให้หวนกลับคืนมาได้ เพราะถ้ำไม่สามารถซ่อมแซมเยียวยาตัวเองได้นั่นเอง
คำถามก็คือ เราควรต้องรับผิดชอบและระมัดระวังอะไรบ้างเวลาไปเที่ยวถ้ำ
ไม่เฉพาะถ้ำผาไท แต่รวมถึงถ้ำอื่น ๆ ในประเทศและในโลก
นอกจากพฤติกรรมที่ต้องหลีกเลี่ยงเด็ดขาด
ได้แก่ การหักหินงอก หินย้อย การขีดเขียนบนผนังถ้ำ การทำลาย หรือขโมยส่วนหนึ่งส่วนใดของถ้ำออกมา
และการจุดไฟแล้ว ยังมีสิ่งที่สร้างผลกระทบ
ซึ่งเราอาจไม่ทันสังเกตว่ามันจะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อถ้ำ นั่นก็คือ
การเหยียบย่ำพื้นถ้ำที่เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ถ้ำ จนตะกอนดินอัดตัวแน่นเกิดเป็นรอยหยัก
พื้นถ้ำที่ถูกอัดแน่นเช่นนี้
ไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตว์ถ้ำได้อีก
ขณะที่การสูบบุหรี่ในถ้ำและการทิ้งแบตเตอรี่ที่ใช้แล้วก็ก่อให้เกิดมลพิษที่เป็นอันตรายต่อสัตว์ถ้ำได้
โคลนที่ติดอยู่บนรองเท้าและเสื้อผ้ายังเป็นแหล่งแพร่เชื้อแบคทีเรียและเชื้อราให้แก่ถ้ำ
การทำเศษอาหารตกภายในถ้ำก็เป็นการเพิ่มจำนวนอาหารในถ้ำ
ถ้ามากเกินไปจะส่งผลต่อความสมดุลของระบบนิเวศถ้ำ ซึ่งอันที่จริง วัสดุอย่างกระดาษ
ไม้ เทียน และเสื้อผ้า ล้วนเป็นตัวทำลายความสมดุลของระบบนิเวศถ้ำทั้งสิ้น
นอกจากนี้
น้ำมันบนผิวหนังยังมีผลต่อการเจริญเติบโตของหินงอก หินย้อย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงไม่ควรสัมผัสหินงอก
หินย้อย เนื่องจากน้ำมันทำให้การก่อตัวของแคลไซต์หยุดชะงักลง
การสัมผัสยังเป็นสาเหตุหนึ่งของการแตกหัก โดยเฉพาะการเคาะหินงอก หินย้อย
เพื่อให้เกิดเสียง ขณะที่ลมหายใจและความร้อนจากร่างกายของเราก็สามารถเปลี่ยนองค์ประกอบทางเคมี
ความชื้น และอุณหภูมิของบรรยากาศได้ อันเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงภายในถ้ำ
ขณะที่เสียงดังและความสว่างจะรบกวนการอยู่อาศัยของค้างคาว ถ้าค้างคาวอพยพออกไป
เท่ากับว่าจะไม่มีขี้ค้างคาวในถ้ำอีก ส่งผลเสียต่อระบบนิเวศถ้ำทั้งหมด
ความเปราะบางดังกล่าวทำให้การเปิดถ้ำเป็นแหล่งท่องเที่ยวกลายเป็นดาบสองคม
เพราะต้องอาศัยนักท่องเที่ยวที่มีใจอนุรักษ์เท่านั้น
แม้ความสวยงามอลังการด้านในจะเย้ายวนชวนให้ค้นหา
แต่ถ้าต้องแลกกับความเสียหายที่มาจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์สักคน
การหันหลังกลับดูจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 979 ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม - 5 มิถุนายน 2557)