หากฝ่าผนังทองแดง กำแพงเหล็ก ไปได้ “ลานนาโพสต์”
หนังสือพิมพ์บ้านนอกฉบับเล็กๆ ฉบับนี้ที่มุ่งจะเป็นหนังสือพิมพ์ชุมชนหรือ Community newspapers ที่สะท้อนคุณภาพของคนลำปางในระดับประเทศ ก็จะมีตัวแทนไปทำหน้าที่
ในสภาปฎิรูปแห่งชาติ (สปช.) นอกเหนือจากโควตาจังหวัด นั่นแปลว่า
เราได้ก้าวข้ามภารกิจสำคัญในการเป็นเพียงสื่อสะท้อนสังคมในพื้นที่ ไปยังภารกิจปฏิรูปสื่อระดับชาติ
หรืออีกนัยหนึ่งการประกาศบทบาทของสื่อในการปฎิรูปทั้ง 11 ด้าน
ด้วยการขับเคลื่อนของสื่อที่เป็นหัวใจสำคัญของการปฏิรูปทั้งระบบ
และถึงวันนั้น
ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของการปฏิรูปประเทศ ก็จะเข้มข้นคึกคัก และติดตามอ่านได้ใน “ลานนาโพสต์”
ที่ล้ำหน้า ล้ำสถานการณ์ยิ่งกว่าสื่อกระแสหลักในใจกลางมหานคร
หลายคนอาจยังสับสนในบทบาทหน้าที่ของ
สปช. หรือยังแยกแบ่งบทบาทของ สปช.กับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ไม่ได้ชัดเจน
สปช.นั้นทำหน้าที่คล้ายๆกับ สภาร่างรัฐธรรมนูญ คือเป็นองค์กรหลักในการระดมความเห็น
เพื่อนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่สำคัญคือการปฏิรูปประเทศ
ที่เป็นข้อถกเถียงกันก่อนหน้าที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
จะเข้ายึดอำนาจว่า ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง หรือเลือกตั้งแล้วถึงจะปฏิรูป สรุปก็คือปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง
และ สปช.คือองค์กรที่ถูกกำหนดโดยรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้ทำหน้าที่นี้ ในขณะที่
สนช.ทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ แทนสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา คือการตรากฎหมายที่ค้างพิจารณาอยู่
หรือกฎหมายเร่งด่วนมาทดแทนกฎหมายเก่าที่ล้าสมัย ไม่สามารถใช้ในบริบทสังคมปัจจุบันได้
อีกทั้งทำหน้าที่ในการรับรองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่
เพื่อก่อรูปขึ้นเป็นฝ่ายบริหาร
ดังนั้น หากมองในแง่ของบทบาท
สปช.จึงเป็นความหวังของผู้คนทั้งประเทศ ในการตรากฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ที่จะขจัดข้อขัดแย้ง ปัญหาต่างๆนานา
ซึ่งเคยทำให้สังคมไทยตกลงไปอยู่ในหล่มโคลนของความร้าวฉาน ในห้วงเวลาที่ผ่านมา
นี่อาจเป็นเพียงแนวคิดในเชิงอุดมคติ ที่ไม่สามารถไปสู่ความเป็นจริงได้
แต่หากมองย้อนไปในอดีต เราคงไม่คิดว่า
แนวคิดในเชิงอุดมคตินี้ จะมาบั่นทอนความมุ่งมั่นตั้งใจ ในการมีส่วนร่วมในการปปฏิรูป
โดยเฉพาะการปฏิรูปในภาคสื่อสารมวลชน เนื่องเพราะตลอดเส้นทางการปฏิรูปสื่ออันยาวไกลนี้
อย่างน้อยความสำเร็จก็เคยเกิดขึ้น นั่นคือ
การปฏิรูปสื่อวิทยุและโทรทัศน์
การช่วงชิงคลื่นความถี่ที่เคยตกอยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐ มาเป็นสมบัติสาธารณะ
ให้มีองค์กรอิสระขึ้นมาเพื่อจัดสรรคลื่นความถี่ ถึงแม้ว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)
จะยังเป็นปัญหาในแง่ความคิดของตัวบุคคล
ที่ไม่สามารถเชื่อมโยงประวัติศาสตร์การต่อสู้เมื่อเดือนพฤษภาคม 2535 มาสู่แนวคิดหรือปรัชญาในการปฏิรูปสื่อได้อย่างแท้จริงก็ตาม
ความสำเร็จครั้งนั้น คือการปฏิรูปสื่อ
แต่ครั้งนี้เราเรียกว่า “การปฏิรูประบบสื่อ” แปลว่า เราต้องปฏิรูปทั้งระบบตั้งแต่โครงสร้างความเป็นเจ้าของ
ความเป็นอิสระของกองบรรณาธิการ รวมทั้งการปฏิรูปองค์กรกำกับดูแลด้านจริยธรรมของสื่อมวลชน ดังนั้นบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
นอกจากต้องคงไว้ซึ่งหลักการตามมาตรา 40 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540
บทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าด้วย
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของบุคคลและสื่อมวลชน มาตรา 45 – 48 ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 แล้ว
ยังต้องมีบทบัญญัติบางประการที่เป็นการสกัดความพยายามของนักการเมือง
หรือหน่วยงานรัฐ ในการครอบงำกิจการสื่อ ผ่านทุนและงบประมาณโฆษณาด้วย
หลายคนคาดหมายว่า
กระบวนการทำงานของสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.)
จะเป็นคล้ายกำแพงที่ขวางกั้นความมุ่งหวัง ตั้งใจ ของทุกภาคส่วนที่ส่งตัวแทนเข้าไป
เพราะ คสช.คงมีพิมพ์เขียวไว้ในใจ หรือได้ให้นักกฎหมายร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปนี้ไว้แล้ว
ในแนวทางที่ต้องการ เช่น การลดทอนความสำคัญของระบบพรรคการเมือง
ให้มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรงได้ หรือผู้ลงสมัคร ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง
การปฏิรูปสื่อสารมวลชน ก็อาจอยู่ในวังวนนี้ คือให้มีเสรีภาพ ภายใต้ขอบเขตที่จำกัด
โดยเฉพาะความมั่นคงของรัฐ และคสช.
นั่นก็เป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กัน
และน้ำเสียงในการแสดงความเห็นในเรื่องการปฏิรูปสื่อ
ในพื้นที่ของสื่อมวลชนเองก็จะดังมากขึ้น เมื่อ สปช.เดินหน้าเต็มรูปแบบ เพราะบางสมมติฐานมีความเชื่อว่า
ในที่สุดสื่อมวลชนซึ่งน่าจะเป็นเสียงข้างน้อย ในสปช.ก็จะตกอยู่ภายใต้การครอบงำของ
สนช.ส่วนใหญ่ ที่ถูกวางตัวมาตั้งแต่ก่อน สปช.เกิด แล้วยังมีปัญหาในเชิงการยอมรับความเป็นผู้แทนสื่อ
ปัญหาวิธีคิดที่แตกต่างกันระหว่างสื่อที่หลากหลาย
ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นความจริงที่ปฎิเสธไม่ได้
คนมองโลกในแง่ร้ายก็จะบอกว่า
ถ้าเช่นนั้น จะเข้าไปด้วยเหตุใด หากรู้ว่าจะทำอะไรไม่ได้
คำตอบง่ายสุดของคนที่อยู่ในวิชาชีพนี้มาเกือบ
40 ปี ได้พานพบความเปลี่ยนแปลงของสังคม
ได้ผ่านประสบการณ์การทำข่าวการเมืองเรื่องอำนาจและผลประโยชน์มาช้านาน คือ
ร้ายที่สุดของความพยายามในการทำงาน ก็คือการยืนหยัดต่อต้านสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม
อย่างตรงไปตรงมา และมันจะปรากฎต่อสังคม แปรรูปเป็นพลังงานของเหตุและผล ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด
เช่น ความพยายามขององค์กรสื่อในการยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ 2484 ในปี 2549
ไม่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว จะได้เข้าไปใน
สปช.หรือไม่ แต่กระบวนการปฏิรูปสื่อจะต้องเดินหน้าต่อไป แม้ว่า คสช.จะยังอยู่หรือไป
เพราะนี่คือภารกิจของชีวิตและจิตวิญญาณของสื่อทั้งระบบ
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 991 ประจำวันที่ 15 - 21 สิงหาคม 2557)