ผู้ประกอบการ ล่องแพเหนือเขื่อนกิ่วลม บริเวณแพสำเภาทอง อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ประสบปัญหาอย่างหนักทั้ง จอกหูหนูระบาดเกือบ 1 ปียังแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่สามารถประกอบกิจการได้
วอนผู้เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขด่วนเนื่องจากเป็นชาวที่นักท่องเที่ยวจะมาล่องแพชมธรรมชาติในหนาวนี้
-ชาวแพวอนช่วย
เมื่อวันที่
10 ก.ย.57 กลุ่มผู้ประกอบการล่องแพ และชาวบ้านอาชีพหาปลา
ได้รวมตัวที่ท่าน้ำ แพสำเภาทอง ต.บ้านสา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง กว่า 10 คน เพื่อร้องขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน
เพื่อเป็นสื่อกลางในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปช่วยเหลือย่างเร่งด่วน หลังจากที่ต้องประสบปัญหา
จอกหูหนูระบาดหนัก โดยได้ส่งผลกระทบมานานกว่า 10 เดือน
ไม่ว่าจะเป็นการสัญจรทางน้ำ การประกอบกิจการล่องแพพานักท่องเที่ยวไปชมธรรมชาติ และการจัดงานเลี้ยงฉลองต่างๆ
รวมทั้งการประกอบอาชีพประมงวางข่ายดักปลาที่ไม่สามารถทำได้ใน
-จอกลามอีก 1,500 ไร่
ประกอบกับจอกหูหนูที่ระบาดอย่างหนักกินพื้นที่กว่า
1,500 ไร่ แม้ที่ผ่านมาทางโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากิ่วลม-กิ่วคอหมา
จะได้จัดการจอกหูหนูที่ระบาดอย่างหนักทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเปิดประตูระบายน้ำผลักดันจอกหูหนูระบายลงสู่แม่น้ำวัง
นำเรือกำจัดวัชพืชมาเก็บกวาดจอกหูหนูโดยตักขึ้นวางริมฝั่งเพื่อให้แห้งตาย
แต่ก็ยังไม่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น จึงต้องรวมตัวกันออกมาร้องขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เข้ามาช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เนื่องจากผู้ประกอบการและชาวบ้านที่มีอาชีพประมงได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ต้องหยุดให้บริหารนักท่องเที่ยวมากว่า 1 เดือนแล้ว
-แพหยุดรับนักท่องเที่ยว
นาย
ปองพล
ไชยยะ เจ้าของแพไชยนาวาทัวร์ ผู้ประกอบการ ชาวแพบ้านสำเภาทอง
ที่ได้รับผลกระทบ กล่าวว่า
จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นพบว่า จอกหูหนูนั้นระบาดอย่างหนักมาเกือบปีแล้ว
และยังแก้ปัญหาไม่ได้เนื่องจากเครื่องจักรที่นำมาตักจอกหูหนูมีเพียงเครื่อง
เดียว
และตัวเล็กไม่สามารถกำจัดได้หมดและจอกหูหนูได้แพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้
ยังพบว่า น้ำในเขื่อนได้ลดลงอย่างรวดเร็ว
เพราะทางโครงการฯได้พร่องน้ำเพื่อทำการซ่อมแซมประตูระบายน้ำ
ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการล่องแพ จุดชาวแพบ้านสำเภาทอง แหงนี้จำนวน 13 แพ
ซึ่งแพบางลำไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทันเนื่องจากว่าระดับน้ำลดลงทำให้แพต้อง
ค้างอยู่ตามโขดหินและเกาะแก่งต่างๆ จนต้องยกเลิกคิวจองจัดงานลองแพไปไหลายคณะแล้ว
ซึ่งตอนนี้ต้องแบกภาระต่างๆอย่างหนักวอนผู้เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือด้วย ต้องหยุดประกอบอาชีพไป
1 เดือนแล้ว
-ยกเลิกลูกค้า
ท่องเที่ยวเสีย
นางรสนา
วิกเตอร์เบิก เจ้าของแพลุงฮาร์ท กล่าวว่า ในเดือนกันยายนนี้ต้องยกเลิกลูกค้าจาก
จ.ลำพูน และ จ.เชียงราย ไป 3 รายแล้ว
ได้แจ้งลูกค้าไปตามตรงว่าติดปัญหาเรื่องจอกหูหนู และน้ำแห้ง ทำให้ไม่สามารถรับลูกค้าได้
ทุกวันนี้ก็ต้องมานอนเฝ้าแพทุกคืน เพื่อคอยดันแพให้ออกตามน้ำ
เพราะไม่รู้ว่าระดับน้ำจะลดลงเมื่อไร
หากทุ่นเหล็กใต้แพติดค้างอยู่บนฝั่งแล้วก็จะเสียหาย ต้องซ่อมเป็นเงินอีกจำนวนมาก
-ใช้เวลาล่องแพถึง
4 ชั่วโมง
นางสุรีย์
เอี่ยมใจ เจ้าของแพชัยเจริญสิน
กล่าวเช่นเดียวกันว่า ยกเลิกลูกค้าไป 3 รายเช่นกัน
ซึ่งก่อนหน้านี้ช่วงที่รับลูกค้า จะต้องล่องแพไปรับที่หน้าเขื่อน
โดยเดินทางไปล่วงหน้า 1 วัน
ไปนอนพักค้างคืนอยู่กลางหุบเขา
เนื่องจากต้องใช้เวลาฝ่ากองทัพจอกหูหนูออกไปในช่วงเช้า
จากปกติใช้เวลาล่องแพไปหน้าเขื่อนเกือบ 2 ชั่วโมง
ต้องเพิ่มเป็น 4 ชั่วโมง เพราะต้องฝ่าจอกไปอย่างยากลำบาก
พอรับนักท่องเที่ยวมา ก็ต้องเลี่ยงที่จะผ่านจอก โดยต้องจอดแพกลางน้ำ
และพยายามถ่วงเวลาให้ลูกค้าได้เต็มวันเหมือนเดิม
-คนหาปลารายได้หด
ด้านนายสว่าง
กาบสนิท อาชีพหาปลา เปิดเผยว่า ตนเองหาปลามานาน
40 กว่าปี ไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบเช่นนี้มาก่อนเลย
ตอนนี้ต้องหยุดหาปลาไปนานเดือนกว่าแล้ว เนื่องจากเมื่อนำตาข่ายไปวางดักปลา
จอกหูหนูก็เข้ามาติดในตาขายหมด ทำให้ตาข่ายขาดเสียหาย แถมยังไม่ได้ปลาสักตัวเดียว
ทำให้เสียเงินค่าตาข่ายไป เพราะครั้งหนึ่งต้องลงทุนประมาณ 5,000 บาท
จากเดิมที่หาปลาขายได้ทุกวันไม่ต่ำกว่าวันละ 300 บาท แต่ตอนนี้กลับไม่มีรายได้เลย
มีเพียงเงินจากเบี้ยผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาทเท่านั้น
ซึ่งตนเองอายุมากแล้วไม่รู้ว่าจะไปประกอบอาชีพอะไร
หากให้ใช้แรงหนักๆก็ไม่สามารถทำได้ ตอนนี้จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยแก้ไขกำจัดจอกหูหนูโดยเร็วที่สุด
-ไม่ได้ปลา ได้จอกแทน
นายจำเนียร
เอี่ยมใจจง อาชีพหาปลา กล่าวว่า อยู่มานาน
30 ปีแล้วประกอบอาชีพหาปลามาตลอด พอเอาตาข่ายไปดักปลาก็เอาออกไม่ได้
เพราะจอกเข้าไปติดในตาข่ายทำให้ตาข่ายเสียหาย ไม่มีเงินไปลงทุนใหม่เพราะไม่มีรายได้แล้ว
ต้องหยุดหาปลาไปหารับจ้างทำอย่างอื่นแทน
-ฝ่าดงจอก
ต้นทุนน้ำมันเพิ่ม
นายวันชัย
แผ่นทอง อาชีพหาปลา กล่าวว่า ปีนี้รายได้หายไปมาก
ต้องประหยัดให้มากขึ้น ตอนนี้ไม่กล้าเอาตาข่ายดักปลาลง เพราะลงไปแล้วก็ไม่คุ้ม
อีกทั้งออกเรือค่าน้ำมันก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะติดจอกหูหนู
จึงใช้เงินจากเบี้ยผู้สูงอายุที่ได้รับเท่านั้น
-วอนแก้ปัญหาก่อนหนาวนี้
ทั้งนี้
สิ่งที่ชาวบ้านต้องการ คือ ขอให้แก้ปัญหาจอกหูหนูให้เสร็จภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้
หรืออย่างช้าสุดขอให้เสร็จกลางเดือนตุลาคม เพราะเข้าสู่ฤดูหนาวก็จะเป็นฤดูการท่องเที่ยวที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก
หากยังติดปัญหาจอกอยู่ก็ไม่สามารถประกอบการได้ ทำให้รายได้หายไปมาก
ขอความเห็นใจและช่วยเหลือผู้ประกอบการด้วย
-ชลประทานเพิ่มแบ็คโฮช่วยตัก
สำหรับความคืบหน้าในการกำจัดจอกหูหนูนั้น ได้สอบถามไปยัง นายวศิน ลีลาชินาเวศ
หัวหน้าฝ่ายจัดสรรน้ำและปรับปรุงระบบชลประทาน กล่าวว่า ตอนนี้ได้ประสานกับทางเรือกำจัดวัชพืชที่
จ.พิษณุโลก เพื่อที่จะนำรถแบ็คโฮมาลงโป๊ะ ช่วยในการตักจอกอีกลำหนึ่ง
คิดว่าน่าจะเป็นสัปดาห์หน้า จะช่วยได้มากขึ้นพอประมาณ
ทางหน้าเขื่อนต้องทำให้เสร็จแน่นอน
ส่วนที่ตักขึ้นแล้วกองอยู่ด้านข้างยังไม่สามารถขนย้ายได้ เนื่องจากต้องรอให้แห้งก่อนเพราะจอกมีน้ำหนักมาก
ซึ่งกำลังคนไม่สามารถขนได้หมด ตอนนี้จึงต้องรอรถแบ็คโฮเข้ามาช่วยในการขนย้าย
โดยจะนำไปกองไว้ในเขตของโครงการกิ่วลมฯก่อน
-ทำทุ่นกั้นแต่ถูกทำลาย
ทางชลประทานไม่ได้นิ่งเฉยในการแก้ไขปัญหา ซึ่งตอนแรกได้นำทุ่นพร้อมสายลวดสลิงไปกั้นไว้ด้านเหนือที่มีวัชพืชจำนวนมาก
ใกล้กับท่าเรือสำเภาทอง เพื่อจะจำกัดพื้นที่ในการเก็บได้ง่ายขึ้น
เมื่อกำจัดวัชพืชที่ท่าสำเภาทองเสร็จจะได้ย้ายไปกำจัดวัชพืชในส่วนที่กักไว้ตามขอบเขต
แต่ปรากฏว่าทุ่นและสายลวดสลิงที่กั้นไว้โดนตัดขาด จึงทำให้วัชพืชที่กักไว้ไหลออกมา
และกระจายไปทางท่าแพสำเภาทองอีก ซึ่งเราได้พยายามหาไม้ไผ่และทุ่นมากันตามจุดต่างๆ
ก็โดนตัดและโดนฟันไม้ไผ่อีก ทำให้วัชพืชกระจายออกไปทั่วบริเวณจึงไม่รู้จะทำอย่างไร
ตอนนี้จอกก็ได้ลอยมาด้านหน้าเขื่อนแล้ว จึงประสานไปทาง จ.พิษณุโลก
ให้เข้ามาช่วยอย่างเร่งด่วนเพราะต้องกำจัดให้เร็วที่สุด
-ไม่เกิน
1 เดือนเสร็จ
นายวศิน
กล่าวอีกว่า ตอนนี้คงไม่ปล่อยออกไปทางประตูระบายน้ำ
เพราะกลัวว่าจะไปแพร่พันธุ์ด้านท้ายน้ำ เพราะจอกมีปริมาณเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก
จึงจะใช้วิธีเก็บขึ้นให้หมด ซึ่งยังระบุไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไร เนื่องจากต้องให้เจ้าหน้าที่เรือกำจัดจอกจาก
จ.พิษณุโลกเข้ามาคำนวณดูอีกครั้ง ซึ่งวันหนึ่งสามารถตักขึ้นได้เพียง 40
ไร่เท่านั้น คิดว่าไมเกิน 1 เดือน น่าจะทำเสร็จ
-ผู้ว่าฯรับปากช่วยติดตาม
นาย
ธานินทร์
สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง กล่าวว่า
หลังจากกลับจากกรุงเทพฯจะเรียกทางสำนักงานชลประทานเข้าพบเพื่อติดตามความคืบ
หน้าในเรื่องนี้
ซึ่งก่อนหน้านั้นได้พูดคุยกันว่าสามารถกำจัดได้ง่ายๆ
แต่ปรากฏว่ามีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ทางโครงการกิ่วลมฯก็รับปากว่าจะแก้ไขให้
จะรีบสั่งการก่อนเดือนตุลาคมจะให้เรียบร้อย
-สั่งกิ่วลมรายงานผล
จากนั้นทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการให้เลขาฯ
ประสานไปยังสำนักงานชลประทานที่ 2 ลำปาง
ขอทราบข้อมูลว่าที่เขื่อนกิ่วลมดำเนินแก้ปัญหา โดยจะติดตามให้ภายในวันที่ 19
ก.ย.57 นี้
-ปูนซิเมนต์ยินดีช่วย
นายมานัส
อนันตกิจไพบูลย์ ผู้จัดการรัฐกิจสัมพันธ์ บริษัทปูนซีเมนต์ไทย(ลำปาง) จำกัด
กล่าวว่า ได้รับทราบปัญหานี้เช่นกัน
และยินดีที่จะเข้าไปช่วยเหลือหากได้รับการประสานงานเข้ามา
ซึ่งจะนำเรื่องเสนอให้กับทางกรรมการผู้จัดการทราบ
โดยส่วนตัวมีความเห็นว่าสามารถขอกำลังทหารเข้ามาช่วยเหลือในการขนย้ายจอกที่ตักขึ้นมาแล้วได้
เพราะทหารมีกำลังจำนวนมากและทำงานได้เต็มที่
ส่วนทางปูนซิเมนต์จะช่วยเหลืออย่างไรได้มากนั้น คงต้องปรึกษากับผู้ใหญ่ก่อน
-เกษตรแนะนำ
ทำปุ๋ยหมักได้ดี
ทั้งนี้
ผู้สื่อข่าวยังได้สอบถามไปยัง ฝ่ายอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดลำปาง
ซึ่งให้คำแนะนำว่า จอกหูหนูสามารถนำไปทำปุ๋ยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยชีวภาพที่จะช่วยเพิ่มสารอาหารในดิน
ทำให้ดินร่วนซุย เหมาะแก่การเพาะปลูกพืช นอกจากนั้นยังสามารถนำไปทำเป็นอาหารเสริมในการเพาะเห็ดได้อีกด้วย
แต่กรณีการใช้สารเคมีในการกำจัดวัชพืชน้ำนั้นไม่สามารถให้คำแนะนำได้
เนื่องจากว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ต้องให้ทางผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้เข้ามาตรวจสอบจะดีกว่า
-เกาะติดสถานการณ์
สำหรับปัญหาจอกหูหนู
ลานนาโพสต์ได้นำเสนอปัญหามาตั้งแต่เดือน ม.ค. 57 หลังจากพบว่าจอกหูหนูได้แพร่กระจายอยู่บริเวณหน้าเขื่อนจำนวนมากกว่า
900 ไร่ จากพื้นที่อ่างเก็บน้ำทั้งหมด 16,000 ไร่ ซึ่งทางโครงการกิ่วลมฯ
ได้พยายามแก้ปัญหาเบื้องต้นโดยการใช้แพของชาวบ้านตักขึ้น แต่ก็ทำด้วยความยากลำบาก
ประกอบกับจอกหูหนูได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว
จึงต้องเปลี่ยนวิธีการโดยการเปิดประตูระบายน้ำ เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 57 เพื่อดันจอกหูหนูออกไปด้านท้ายน้ำให้หมด
ทำให้จอกที่ลอยอยู่ด้านหน้าเขื่อนหายออกไป พร้อมกับประสานเรือกำจัดวัชพืชจาก
จ.พิษณุโลกเข้ามาเพื่อตักจอกที่ลอยอยู่ในอ่างออก แต่เมื่อปล่อยน้ำไปได้ระยะหนึ่งเท่านั้น
จอกหูหนูที่ลอยอยู่กลางอ่างก็ได้ไหลมารวมตัวกันอยู่ด้านหน้าเขื่อนอีกจำนวนมากกินพื้นที่
700 ไร่ ระหว่างที่รอเรือจำกำจัดวัชพืชทางโครงการกิ่วล่มฯ
ได้พยายามแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง โดยได้มีการสาธิตใช้สารกำจัดวัชพืช พาราควอท
ฉีดพ่นไปยังจอกหูหนูที่ลอยอยู่เหนือน้ำ ซึ่งได้ทำการสาธิตไปเมื่อวันที่ 9 เม.ย.57 แต่เป็นห่วงเรื่องคุณน้ำภาพที่ชาวแพใช้อุปโภคบริโภค
จึงล้มเลิกไปและรอเรือกำจัดวัชพืชเข้ามาทำงาน กระทั่งวันที่ 22 เม.ย.57 เรือกำจัดวัชพืชได้เข้าทำงาน
ซึ่งพบว่าบริเวณหน้าเขื่อนไม่มีจอกหูหนูแพร่กระจายอยู่แล้ว
แต่ขณะเดียวกันจอกหูหนูได้ไปแพร่กระจายอยู่บริเวณท่าแพสำเภาทองแทน
ทำให้ชาวแพสำเภาทองได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากเรือกำจัดวัชพืชไม่สามารถตักได้จำนวนมากเท่าที่ควร
และล่าสุดวันที่ 10 ก.ย. 57
ลานนาโพสต์ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบปัญหาจอกหูหนู
พบว่าจอกได้มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากเดิมอีกเท่าตัว กินพื้นที่ประมาณ 1,500 ไร่
และได้ลอยไปติดค้างอยู่ที่ทุ่นด้านหน้าเขื่อนกิ่วลมเป็นบริเวณกว้าง
ในขณะที่เรือกำจัดวัชพืชยังคงทำงานอยู่เพียง 1 ลำ
ไม่เพียงพอต่อการโกยจอกขึ้นบนบก
ทางโครงการกิ่วลมฯจึงได้ประสานขอรถแบ็คโฮเพื่อนำมาลงโป๊ะ ช่วยในการตักอีกทางหนึ่ง
ผลการทำงานจะเป็นอย่างไร ลานนาโพสต์จะติดตามมารายงานให้ทราบต่อไป
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 996 ประจำวันที่ 19 - 25 กันยายน 2557)