วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ไขปริศนาเงาพระธาตุ




กุลธิดา สืบหล้า...เรื่อง

เงาพระธาตุเป็นภาพสะท้อนจากภายนอกที่เรียกว่า Camera Obscura คือ ปรากฏการณ์หักเหของแสงในหลักการเดียวกันกับกล้องรูเข็ม แบบที่เราเคยทำการทดลองสมัยเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กล้องรูเข็มนี้ใช้กระดาษสีดำปิดปลายด้านหนึ่งแล้วเจาะรูเล็ก ๆ ไว้ ส่วนปลายอีกด้านปิดกระดาษไข จากนั้นเอากล้องไปส่องกับเทียนไข ก็จะปรากฏภาพเทียนไขหัวกลับให้เห็นบนกระดาษไข

การปรากฏของเงาพระธาตุก็คล้ายกับกล้องรูเข็ม คือ ตัววิหารที่มืดสนิทเป็นตัวกล้อง รูบนผนังคือรูบนกล้อง ส่วนผ้าขาวที่รับภาพคือกระดาษไข และที่เป็นภาพหัวกลับได้ ก็เพราะรูเล็ก ๆ บนกล้อง หรือที่ผนัง ทำหน้าที่เหมือนเลนส์กล้องถ่ายภาพ บีบบังคับให้แสงหักเห เกิดภาพกลับในทิศทางตรงกันข้ามกับของจริง ส่วนยอดมาอยู่ล่าง ส่วนล่างกลับไปอยู่บน

กล้องรูเข็มนี้ ค้นพบโดยชาวอาหรับเมื่อ 3,000 กว่าปีมาแล้ว โดยเขาสังเกตเห็นภาพอูฐเดินหัวกลับบนผนังกระโจมด้านที่อยู่ตรงกันข้าม

ดูเป็นทฤษฎีง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนอะไร ทว่าความแปลกมหัศจรรย์ของการเกิดเงาพระธาตุนั้น อยู่ตรงความเหมาะเจาะในระยะห่างระหว่างองค์พระธาตุกับวิหาร อุโบสถ หรือมณฑป โดยเฉพาะตำแหน่งของรูเล็ก ๆ บนผนัง ซึ่งต้องอยู่ในระดับความสูงพอดิบพอดีที่จะทำให้เกิดภาพในสถานที่นั้น ๆ ถ้ารูอยู่สูง หรือต่ำเกินไป ก็อาจไม่มีใครสังเกตเห็น อีกทั้งรูยังต้องมีขนาดพอเหมาะจริง ๆ ถ้าเล็ก หรือใหญ่เกินไป คงไม่ได้เห็นกัน

เรียกได้ว่า การเงาพระธาตุนั้น ขึ้นอยู่กับความลงตัวของหลาย ๆ ปัจจัยเลยทีเดียว ซึ่งเงาพระธาตุเมืองลำปางเรายังซับซ้อนเข้าไปอีก เพราะมีหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบหัวกลับ หัวตั้ง และซ้อนชั้น 

เงาพระธาตุที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งโด่งดังเลื่องชื่อจนเป็น Unseen in Thailand ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยมีอยู่ถึง 2 แห่ง แห่งแรก คือ ภายในมณฑปพระพุทธบาท (เข้าชมได้เฉพาะผู้ชาย) เวลาเข้าชมต้องปิดประตูให้สนิท แสงจากภายนอกจะลอดผ่านรูเล็ก ๆ บนผนังเข้ามา โดยทางวัดได้นำผืนผ้าสีขาวมาวางรับภาพไว้ เราจึงเห็นเงาพระธาตุและเงาพระวิหารในลักษณะหัวกลับปรากฏอย่างคมชัดสวยงาม รวมทั้งภาพผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย

เงาพระธาตุหัวกลับนี้ ถูกค้นพบโดยบังเอิญเมื่อปี พ.ศ. 2541 โดยพระที่เข้าไปทำความสะอาดภายในมณฑป
อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงสามารถเข้าไปดูได้ในวิหารพระพุทธ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กัน โดยเงาพระธาตุที่ลอดผ่านรูผนังมาปรากฏบนผืนผ้าภายในวิหารพระพุทธนั้น เป็นเงาพระธาตุหัวตั้งที่มีสีสันเหมือนพระธาตุองค์จริงทุกอย่าง เพียงแต่ไม่ชัดเจนเท่ากับในมณฑปพระพุทธบาทเท่านั้น 

นอกจากนี้ ความมหัศจรรย์เงาพระธาตุหัวกลับยังมีให้เห็นตามวัดอีกหลายแห่งในเมืองลำปาง

วัดพระธาตุจอมปิง อำเภอเกาะคา เป็นอีกวัดหนึ่งที่ชื่อเสียงในเรื่องเงาพระธาตุที่กล่าวกันว่ามีความสวยงามและชัดเจนกว่าทุกที่ โดยเงาพระธาตุจะปรากฏให้เห็นภายในอุโบสถ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระธาตุเจดีย์สีเหลืองทอง ทั้งนี้ หน้าต่างของอุโบสถจะมีรูเล็ก ๆ ที่แสงลอดเข้ามาทำให้เกิดเงาพระธาตุทาบลงบนพื้นตลอดเวลาที่มีแสง ต่อมาทางวัดได้นำกรอบผ้าขาวมาเป็นฉากรับภาพให้เห็นได้ชัดขึ้น โดยมีขนาดและสีเหมือนพระธาตุองค์จริงอย่างน่าทึ่ง 

สำหรับวัดที่ปรากฏเงาพระธาตุให้เห็นมากที่สุดถึง 5 เงา คือ วัดพระธาตุดอยน้อย อำเภอเกาะคา ที่นี่ปรากฏเงาพระธาตุในวิหารหลังเปียง โดยปรากฏอยู่ทางฝั่งขวาของวิหารในกรอบเดียวกันถึง 5 เงา ลักษณะเป็นเงาของพระธาตุหัวตั้งซ้อนกันเป็นชั้น ๆ 4 เงา และเงาที่ด้านข้างเล็ก ๆ ส่วนบนอีก 1 เงา ส่วนทางฝั่งซ้ายยังปรากฏเงาพระธาตุหัวตั้งอีก 1 เงา และมีความชัดเจน ทั้งนี้ องค์พระธาตุที่ปรากฏเงาให้เห็นนั้น ตั้งอยู่ทางด้านหลังของวิหาร องค์พระธาตุมีสีดำ ส่วนยอดมีสีทองอร่าม มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับองค์พระธาตุลำปางหลวง

เงาพระธาตุที่วัดพระธาตุดอยน้อยถูกค้นพบอย่างบังเอิญโดยเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. 2548 ขณะท่านนั่งสมาธิอยู่ในวิหารแล้วเห็นเงาของนกที่บินไปมาทางด้านนอก จึงนำผ้าขาวมาขึงตรงที่มีรูบริเวณหน้าประตู ก็เห็นเงาพระธาตุ หลังจากนั้นท่านได้ไปดูเงาพระธาตุที่วัดพระธาตุจอมปิง ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นเงาพระธาตุในลักษณะเดียวกัน

วัดอักโขชัยคีรี อำเภอแจ้ห่ม ปรากฏเงาพระธาตุให้เห็นในวิหารพระยืน โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนทางทิศตะวันออกเสมอ แม้ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนคล้อยไปทางใดก็ตาม เงาพระธาตุก็จะปรากฏให้เห็นในตำแหน่งเดิมเสมอ ชาวบ้านจึงพากันเรียกว่า เงาพระธาตุศักดิ์สิทธิ์

เทคนิคในการชมเงาพระธาตุ ก็คือ ช่วงใกล้เที่ยงนับเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการดูเงาพระธาตุ และภายในวิหารต้องมืดสนิทด้วย

(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ฉบับที่ 1005 ประจำวันที่ 21 - 27 พฤศจิกายน  2557)


Share:

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์