กุลธิดา
สืบหล้า...เรื่อง
หาก
ไม่ใช่เย็นวันศุกร์
ที่ถนนวัฒนธรรม หรือถนนวังเหนือ
จะถูกขับกล่อมด้วยเสียงสะล้อซอซึงและห้อมล้อมด้วยผู้คนคึกคักในกาดหมั้ว
ถนนวัฒนธรรมก็เป็นถนนเส้นหนึ่งที่ค่อนข้างเงียบสงบ
เป็นบรรยากาศที่หนุนเสริมความขรึมขลังให้กับโบราณสถานแห่งหนึ่งริมถนนสายนี้
ได้ไม่น้อย
โบราณสถานแห่งนี้
คือ ซุ้มประตูโขงวัดกากแก้ว หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า กู่เจ้าย่าสุตา
ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523 ก่อนปี
พ.ศ. 2553 ต้องยอมรับว่าที่นี่ไม่สวยงามเช่นวันนี้
ย้อนไปไกลกว่านั้น เราคงจำได้ว่า
กู่เจ้าย่าสุตาเป็นเพียงโบราณสถานที่ไร้การเหลียวแลและรกร้าง
กระทั่งเทศบาลนครลำปางร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักศิลปากรที่ 7 น่าน
จัดทำโครงการขุดค้น ขุดแต่ง บริเวณกู่เจ้าย่าสุตา กระทั่งพบโบราณวัตถุหลายชิ้น
ที่สำคัญก็คือ มีการเปิดหน้าดินแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของฐานวิหารวัดกากแก้วโบราณ
ตลอดจนมีการจัดภูมิทัศน์ได้อย่างน่าสนใจ ทำให้โบราณสถานแห่งนี้โดดเด่นสวยงามขึ้นอย่างชนิดผิดหูผิดตา
ภายใต้ร่มเงาของต้นโพธิ์ใหญ่
มีทางเดินชมโดยรอบ ขณะเดียวกันก็จัดวางที่นั่งไว้เป็นระยะ การได้ก้าวผ่านซุ้มประตูโขงเข้าไปหยุดยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง
ก็ราวกับเราจะได้ย้อนไปในอดีตไกลโพ้น
วัดและโบราณสถานร้างในเขตกำแพงเมืองเขลางค์รุ่นที่
1 จากหลักฐานต่าง ๆ พบว่ามีอยู่ไม่น้อย แต่ทุกวันนี้หลงเหลือเพียงไม่กี่แห่ง
หนึ่งในนั้นคือ ซุ้มประตูโขงวัดกากแก้ว (กู่เจ้าย่าสุตา) แม้เราจะสืบค้นไม่ได้ว่า
เจ้าย่าสุตาคือใคร แต่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นผู้นำสตรีในนิทานปรัมปรา
ซึ่งอาจถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภ์ที่สำคัญเช่นเดียวกับนางสุชาดา
โดยทั่วไป
ซุ้มประตูโขงจะประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมรับฐานปัทมยกเก็จ ตัวเรือนธาตุรูปสี่เหลี่ยมยกเก็จตามส่วนของฐาน
มีการเจาะช่องทะลุเป็นทางเข้าไปยังเขตพุทธาวาสในช่วงฐานและตัวเรือนธาตุ
ซุ้มทางเข้าเป็นวงโค้ง ส่วนยอดเป็นหลังคาบัวถลา ต่อด้วยชั้นบัวลดหลั่นกันขึ้นไป
ยอดบนสุดมักเป็นรูปดอกบัวตูม ทั้งนี้ สันนิษฐานว่า โขง หมายถึง โค้ง
ซึ่งจะเห็นได้จากวงโค้งกรอบซุ้มประตูรูปครึ่งวงกลม เชื่อกันว่า
ซุ้มประตูโขงมีพัฒนาการมาจากทวารโตรณะของศิลปะอินเดีย
เป็นเครื่องหมายบอกทางเข้าพุทธสถาน
โดยได้รับการถ่ายทอดและพัฒนารูปแบบจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแต่ละท้องถิ่น
ซุ้มประตูโขงถือเป็นงานสถาปัตยกรรมที่สำคัญอย่างหนึ่ง
เป็นสิ่งก่อสร้างที่พุทธศาสนิกชนทุกคนต้องก้าวผ่านเมื่อเข้าไปยังเขตพุทธาวาส
ในอดีตนิยมสร้างซุ้มประตูโขงก็เพื่อเป็นประตูกั้นขอบเขตพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์
แสดงถึงความสำคัญของพื้นที่อีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นเขตพุทธาวาส เสมือนเครื่องเตือนสติให้คนต้องปรับเปลี่ยนกิริยา
วาจา และใจ ให้อยู่ในความสงบสำรวม
สำหรับซุ้มประตูโขงวัดกากแก้ว
(กู่เจ้าย่าสุตา) นี้ ถูกสร้างขึ้นในช่วงยุคทองของล้านนา อันเป็นช่วงประมาณปี พ.ศ.
1898-2100
รัชสมัยพระยากือนาจนถึงรัชสมัยพระเมืองแก้ว ทั้งนี้ สันนิษฐานว่า ซุ้มประตูโขงวัดกากแก้ว
(กู่เจ้าย่าสุตา) สร้างขึ้นตอนปลายรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช
ซุ้มประตูโขงวัดกากแก้ว
(กู่เจ้าย่าสุตา) เป็นซุ้มประตูก่ออิฐ ประดับลายปูนปั้นเหนือซุ้ม
ฝีมือสกุลช่างล้านนาราวพุทธศตวรรษที่ 21 ที่น่าสนใจก็คือ
นักวิชาการสันนิษฐานว่า มีอายุเก่าแก่กว่าซุ้มประตูโขงวัดพระธาตุลำปางหลวงเสียอีก
แม้จะไม่สมบูรณ์แบบเทียบเท่าก็ตาม ทว่าก็ยังคงเหลือความสมบูรณ์ของลวดลายต่าง ๆ ไว้ให้ชื่นชมได้อยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปทรงและลวดลายของงานปูนปั้นที่ประดับแต่ละมุมเสาด้วยลายเทวดา นับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสวยงามมาก
นอกจากนี้ รูปแบบการวางโครงสร้างของซุ้มหลังนี้ ยังถือว่ามีลักษณะพิเศษ
อันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการศึกษาศิลปกรรมในอดีตของล้านนาที่ค่อนข้างหายากแล้วในปัจจุบัน
แม้เราจะไม่รู้ความเป็นมาที่แน่ชัดของวัดกากแก้ว
หรือกู่เจ้าย่าสุตา แต่บางครั้ง การเหลือเค้ารอยแห่งปริศนาไว้บ้าง
มันคือการเว้นที่ว่างไว้ให้ใครสักคนได้จินตนาการนั่นเอง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1028 วันที่ 15 - 21 พฤษภาคม 2558)