บ้านศีล 5 ลำปางข้อมูลนิ่ง ยอดสมาชิก 4 แสนกว่าราย 56 เปอร์เซ็นต์ เกินเป้าที่กำหนด นักกฎหมายชี้ใช้เลขบัตรประชาชนผู้อื่น ผิดกฎหมายทั้งแพ่งและอาญา เจ้าหน้าที่รัฐอาจโดนมาตรา 157 กรณีนำไปใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์ส่วนตัว ด้านนายอำเภอเมืองลำปางยัน ข้อมูลทะเบียนราษฎร์ไม่สามารถให้ข้อมูลได้ นอกจากกระทรวงสั่ง คาดอาจมาจากฐานข้อมูลการเลือกตั้ง
จากกรณีที่ลานนาโพสต์ได้นำเสนอข่าวการรับสมัครเข้าโครงการหมู่บ้านศีล 5 โดยมีการร้องเรียนว่าพบชื่อตัวเองเป็นสมาชิกของโครงการโดยไม่ได้มีการสมัครเอง แต่ถูกนำเลขประจำตัวไปสมัครโดยที่ไม่ทราบมาก่อน ขณะที่แหล่งข่าวระบุว่า การสมัครเป็นสมาชิกเป็นการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์มากรอกลงสมัคร จึงมีทั้งคนทราบเรื่องและไม่ทราบเรื่อง สำหรับในเรื่องนี้ทางมหาเถรสมาคมได้กำหนดให้แต่ละจังหวัดรณรงค์ให้มีการเปิดรับสมัครประชาชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 ให้ได้ 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปภายในวันที่ 30 ก.ย. 58 ในขณะเดียวกันก็มีข้อสังเกตว่าเหตุใดจึงต้องเร่งทำยอดให้ได้จำนวนมากขนาดนี้ โดยเฉพาะวันที่ 23 ก.ค.58 ยอดผู้สมัครเพิ่มขึ้นถึง 91,743 คน แต่หลังจากที่ยอดเกิน 50 เปอร์เซ็นต์ จ.ลำปาง ได้ลดลงไปอยู่อันดับที่ 10 ของประเทศ โดยมียอดผู้สมัครหลักพันคนต่อวัน ล่าสุดยอดผู้สมัครของ จ.ลำปาง ณ วันที่ 13 ส.ค. 58 อยู่ที่ 421,518 คน คิดเป็น 56 เปอร์เซ็นต์
จากการสอบถามนักกฎหมายเกี่ยวกับการนำเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลักมาใช้โดยที่เจ้าของไม่ทราบเรื่อง มีความผิดอย่างไร นายชาตรี ยศสมแสน ทนายความ กล่าวว่า มีความผิดอย่างแน่นอน ทั้งทางแพ่งและทางอาญา เป็นการละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของบุคคลนั้น เนื่องจากเลขประจำตัว 13 หลัก เป็นเลขของตัวเรา ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์นำไปทำอะไรก็ตาม หากพบว่ามีการนำเลขบัตรประจำตัวประชาชนของเราไปใช้โดยที่เราไม่ทราบ สามารถแจ้งความดำเนินคดีเป็นคดีอาญาได้ และหากพบว่าการกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายในอนาคตก็สามารถฟ้องเป็นคดีแพ่งได้อีกด้วย
นอกจากนั้นการกระทำดังกล่าว หากพบว่าเกิดความผิดของเจ้าหน้าที่ของรัฐก็สามารถฟ้องมาตรา 157 ได้ เนื่องจากว่าเป็นการนำเลขบัตรประจำตัวประชาชนไปทำเป็นผลงาน ถือว่าได้ประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว
ลานนาโพสต์สอบถามไปยัง นายสุวิทย์ เล็กกำแหง นายอำเภอเมืองลำปาง เกี่ยวกับการใช้ข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์เข้าสมัครโครงการดังกล่าว นายอำเภอเมือง กล่าวว่า ไม่มีการนำข้อมูลจากทะเบียนราษฎร์ออกไปใช้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถนำออกไปได้ การจะนำออกต้องมีรหัสเข้าออกได้ และหากจะมาขอข้อมูลไปก็ไม่สามารถให้ได้เช่นกัน นอกจากว่าจะมีคำสั่งมาจากกระทรวง แต่ในกรณีนี้อาจจะเป็นการใช้จากฐานข้อมูลการเลือกตั้งก็เป็นไปได้ เนื่องจากทุกหมู่บ้านมีอยู่ ส่วนข้อมูลที่จะได้จากอำเภอไปนั้นไม่มีอย่างแน่นอน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1041 วันที่ 14 - 20 สิงหาคม 2558)