
ลองผิด ลองถูกไปเรื่อยๆ สำหรับระบบการศึกษา ภายใต้หน่วยงานรัฐ จากแอดมิชชั่น ก็กำลังกลับมาเป็นเอ็นทรานซ์ และไปสักพัก ก็อาจคิดได้ว่า เอ็นทรานซ์ก็ยังไม่ดีพอ จะต้องกลับไปแอดมิชชั่น เป็นวิธีบริหารแบบไทยๆ ที่ริมรั้วโรงเรียนล้อมไว้ด้วยโรงเรียนกวดวิชา
เมื่อพูดถึงระบบเข้ามหาวิทยาลัยระบบเอ็นทรานซ์
ที่กลุ่มคนอายุ 35 อัพมักจะเรียกเป็นเอ็นสะท้านกันทุกราย
เพราะนึกถึงความเครียดในการสอบเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่สนามสอบทั่วประเทศจะจัดสอบพร้อมๆกันหลังจากที่นักเรียนไปยื่นสมัครสอบเอ็นทรานซ์ที่เลือกคณะในดวงใจ
พอถึงช่วงประกาศผลสอบก็โทรศัพท์ไปลุ้นผลสอบซึ่งโทรติดยากมากถึงมากที่สุด
คู่สายอัตโนมัติกี่คู่สายก็ไม่พอ ใครที่อยู่ใกล้จุดที่ประกาศรายชื่อตามบอร์ดก็จะไปยืนรอ
บ้างก็ถือเทียนไขบ้างก็ถือไฟฉายไปส่องเพื่อหาชื่อตัวเอง
รวมไปถึงบรรยากาศการรอจดหมายแจ้งผลการสอบที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอบุรุษไปรษณีย์มาที่บ้าน
เมื่อได้รับจดหมายแจ้งถึงกับต้องยกขึ้นส่องในอากาศเพื่อดูเงาตัวหนังสือ
ถ้ามีตัวหนังสือยาวๆ ก็ร้องดีใจได้เลยเพราะเป็นรายละเอียดแจ้ง
แต่หากส่องแล้วเห็นตัวหนังสือสั้นๆไม่กี่ตัว น้ำตาก็ตกโดยที่ไม่ต้องเปิดอ่าน
แร็ค ลานนา เองก็ผ่านช่วงเวลาลุ้นระทึกนั้นมาเช่นกัน
ซึ่งเกือบจะเป็นรุ่นท้ายๆก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ระบบแอดมิชชั่นในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
ประเทศไทยได้มีการใช้ระบบเอ็นทรานซ์โดยใช้การสอบระบบกลาง
ตั้งแต่ปี 2516 มาจนถึงปีการศึกษา 2542 ราว 26 ปีได้ กลายเป็นการสอบที่เป็นค่านิยมทางสังคมว่าต้องเรียนต่อมหาวิทยาลัย
ถึงขนาดที่ว่ามีข่าวนักเรียนฆ่าตัวตายเมื่อพลาดหวังจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
นับจากนั้นระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของไทยก็เปลี่ยน
เป็นระบบแอดมิชชั่น ที่เริ่มมีการนำผลการเรียนเฉลี่ยตลอดปีการศึกษา (GPAX) มาใช้เป็นคะแนน และปรับปรุงระบบการสอบแอดมิชชั่นเรื่อยมานับตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบันโดยใช้คะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ผลการทดสอบความถนัดทั่วไป (GAT) และคะแนนการทดสอบความถนัดทางวิชาชีพและวิชาการ
(PAT) คิดสัดส่วนมาเป็นคะแนนแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัย
ซึ่งนั่นหมายความว่า นักเรียนในระดับชั้น ม.ปลาย
ต้องเข้มและเคร่งเครียดกับการเรียนเพื่อให้ได้ผลการเรียนในแต่ละเทอมดีๆ
เพื่อเป็นคะแนนหน้าตักที่มีอยู่ของแต่ละคน
และนั่นหมายความว่ามาตรฐานการสอนที่ไม่เท่ากันย่อมส่งผลต่อคะแนนเฉลี่ย
ที่เป็นปัญหาโลกแตกที่การศึกษาไทยพยายามแก้มาตลอด 16 ปี
แต่สุดท้ายแอดมิชชั่นก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
อาจเนื่องจากแนวคิดดี แต่แนวปฏิบัตินั่นทำจริงไม่ได้
การสอบแบบเอ็นทรานซ์จึงกลับมาอีกครั้งเป็น เอ็นทรานซ์ 4.0 คือสอบครั้งเดียวเหมือนเดิม เพื่อเติมคือเอาการสอบ O-NET GAT PAT มาใช้ในการยื่นเข้ามหาวิทยาลัย ว่าง่ายๆคือเอา เอ็นทรานซ์มาผสมพันธุ์กับแอดมิชชั่น
นั่นแหละคุณขา เราลองมาดูข้อดีข้อเสียของแต่ละระบบดีกว่า
ข้อดีของระบบเอ็นทรานซ์แบบเก่าคือ ทุกคนที่เข้าสนามสอบมี 0 คะแนนเท่านั้นหมด ไม่มีผลจากคะแนน GAPX จากโรงเรียนที่มาตรฐานการสอนไม่เท่ากัน
ดังนั้นถือได้ว่าทุกคนที่เข้าสนามสอบอยู่ในระดับเดียวกัน ต่างกันที่ความขยัน
ความเก่ง ความสามารถของแต่ละคน ไม่ต้องอ่านหนังสือสอบหลายครั้ง
ไม่มีข้อได้เปรียบระหว่างคนจน คนรวย จะรวยหรือจนก็สอบได้วิชาละ 1 ครั้ง เสียเงินเท่ากัน โอกาสเท่ากัน
ในขณะที่การสอบระบบปัจจุบันมีการเปิดสอบตรงซึ่งทำให้นักเรียนเดินสายสอบ
ซึ่งนั่นก็หมายถึงค่าสมัครสอบ ค่าเดินทาง
ค่าที่พักที่เพิ่มเติมขึ้นมาอีกคนจ่ายก็ไม่พ้นผู้ปกครอง ปฏิทินการสอบก็ชัดเจน
ไม่ต้องมาคอยดูประกาศการเลื่อนวันเปลี่ยนแปลงวิชาสอบ และไม่ต้องมาจับจองสถานที่สอบที่พักให้วุ่นวาย
เพราะเดินทางครั้งเดียว สอบครั้งเดียวจบ
แต่ข้อเสีย ก็มี คือไม่มีการแก้ตัว คะแนนรวมถึงคือได้เลย
ถ้าคะแนนไม่ถึงก็เอ็นท์ไม่ติด
สร้างความเครียดให้กับเด็กในการสอบใหญ่ ซึ่งสอบได้ครั้งเดียว
ถ้าจะแก้ตัวก็ต้องรอปีถัดไป และการไม่เอาเกรดเฉลี่ยในห้องเรียนมาประกอบ
อาจทำให้เด็กไม่สนใจการเรียนในห้องเรียน เน้นแต่จะติวเพื่อสอบเอ็นทรานซ์อย่างเดียว
ส่วน ระบบแอดมิชชั่น
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแม้จะใช้มาสิบกว่าปีแล้วก็ตาม
แต่ก็ยังมีปรับเปลี่ยน .. อย่างปี 2552
ค่าน้ำหนักคะแนนจะประกอบด้วย เกรดเฉลี่ยระดับม.ปลาย (GPAX) 20% คะแนน O-NET
30% คะแนน GAT 10-50% คะแนน PAT
0-40% รวมเป็น 100 % แน่นอนว่าการสอบลักษณะนี้ทำให้เด็กตั้งใจเรียนในโรงเรียนมากขึ้น
เพราะเอาคะแนนในโรงเรียนมาคิดด้วย ทำให้เด็กไม่พึ่งโรงเรียนกวดวิชามากนัก
เพราะต้องมาเรียนเอาคะแนนในห้องเรียนมากขึ้น (แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว
ครูที่โรงเรียนก็ใช้เกรดเป็นตัวล่อให้นักเรียนไปเรียนพิเศษ
เพื่อจะได้เปรียบมากกว่าเด็กคนอื่น ซึ่งนั่นก็ขึ้นอยู่กับจรรยาบรรณของครู) สอบแล้วสามารถนำคะแนนที่ได้มาเลือก
มหาวิทยาลัย/คณะ ตามที่เราต้องการได้ในภายหลัง ไม่ต้องเลือกก่อนสอบ
ทำให้โอกาสที่เราจะเลือกคณะที่เหมาะสมกับคะแนนได้แม่นยำขึ้น
ส่วนข้อเสียนะเหรอ ก็อย่างที่บอก
ในเมื่อมาตรฐานของแต่ละโรงเรียนไม่เท่ากัน แล้วจะเอาเกณฑ์ใดพิสูจน์ได้ว่าเกรด 3.25 ของนักเรียน ร.ร.บุญวาทย์
จะเก่งน้อยกว่า คนที่ได้เกรด 4.00 ของ ร.ร.วัดบ้านไกลปืนเที่ยง
ปัญหาโลกแตกที่เด็กหลายคนยอมไปเรียนโรงเรียนที่ให้เกรดง่ายกว่า
แล้วเสริมด้วยการเรียนพิเศษที่อื่นเอา ที่แย่ไปกว่านั้นมหาวิทยาลัยบางแห่ง บางคณะ
ยังไม่ยอมรับเด็กจากระบบแอดมิชชั่น จึงทำการเปิดสอบตรงเอง
หรือสร้างเงื่อนไขของตัวเองขึ้น เพื่อคัดคุณภาพเด็ก ทำให้เกิดการเดินสายสอบเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ต้องการ
ซึ่งแน่นอนใครมีเงินมากก็สามารถเลือกสอบได้มาก มีโอกาสมากกว่าเด็กที่มีเงินน้อย
ที่ไม่สามารถจ่ายเงินก้อนในการสอบหลายๆครั้งได้ ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม
และที่แย่ที่สุดคือ ระบบยังไม่มีมาตรฐาน ยังเปลี่ยนแปลงปรับปรุงรูปแบบการสอบอยู่ตลอดเวลา
รุ่นไหนโชคดีระบบเริ่มเสถียรก็ดีไป
บางรุ่นโชคร้ายสอบเป็นรุ่นแรกไม่มีความพร้อมช่องโหว่เพียบก็ต้องปลงกันไป
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1095 วันที่ 9 - 15 กันยายน 2559)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น