เมื่อโลกของธุรกิจยุคนี้ เปิดทางให้คนรุ่นใหม่ขึ้นมาเป็นเจ้าของธุรกิจกันมากมาย ลานนา Bizweek ฉบับแรกของปี 2560 นี้จึงเปิดพื้นที่ให้กับแนวคิดการตั้งตัวเป็นนักธุรกิจของสาวมั่นไฟแรง ‘โอ๋’ ทิราภรณ์ เขื่อนแก้ว เติบโตจากครอบครัวเปิดร้านค้าขายเก่าแก่ร้านหนึ่ง “ลำปางสังฆภัณฑ์” จบการศึกษาด้านเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต่อด้วยดีกรีปริญญาโท ด้านเทคโนโลยีเกษตรด้านวิทยาศาสตร์ (Science and Technology ) จาก Niigata University ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันเธอมีธุรกิจเล็กๆที่กำลังเติบโตไม่ก้าวกระโดมากนักแต่เป็นที่รู้จักและนิยมในลำปาง
ธุรกิจที่ว่านี้
คือ ร้านบ้านนม ตั้งอยู่ถนนทิพวรรณ ในตัวเมืองลำปาง ,ร้านมายเวียดเวียดนาม
ลำปาง ย่านสุขสวัสดิ์ และล่าสุดคือ ร้านกาแฟ เก๋ไก๋ ปนกลิ่นไอบ้านสวน นาม เอฟเวอร์กรีนคาเฟต์
(Ever
Green cafe') ตั้งอยู่ติดตลาดทุ่งเกวียน ถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง
สิ่งที่น่าทึ่งคือ
ทั้งสามธุรกิจนี้ เกิดจากต้นทุนของความชอบ
เงินส่วนตัวเพียงน้อยนิดสร้างมันขึ้นมาเป็นธุรกิจที่กำลังเติบโตไปได้ดี หลังจากเรียนจบมาก็ไปทำงานในบริษัทเอกชน
ในสายที่จบมาได้ระยะหนึ่ง ‘โอ๋’ ก็พบว่า อยากทำอะไรที่ตัวเองชอบ
อยากมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง
ก็เริ่มจากจุดที่สนใจ เห็นว่า
ในลำปางยังไม่มีร้านนมที่คนทุกเพศทุกวัยมานั่งสบายๆ มีนมสด มีขนมปัง
ของทานเล่น ก็เลยทำร้านนมชื่อร้านบ้านนม
กับน้องๆและเพื่อน(ปี 56) จากนั้นไม่ถึงปี เริ่มเก็บเงินได้อีกนิดก็มองหาธุรกิจอีกตัวหนึ่งที่ไม่ต้องเหนื่อยมาก
มีสูตรสำเร็จด้านการบริหารจัดการมาบางส่วนแล้ว
ประจวบเหมาะกับไปช่วงที่ไปทานอาหารร้านมายเวียดนาม เห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีเอกลักษณ์น่าสนใจ จึงเจรจาขอซื้อแฟรนด์ไชส์ตั้งเป็นสาขาลำปาง
นับเป็นแห่งแรกที่แตกสาขาออกมาจากร้านต้นตำหรับ
"ร้านบ้านนมเป็นเหมือนโรงเรียนฝึกหัดธุรกิจ
ที่เราทำเอง ขายเอง ลองผิดลองถูกทุกอย่าง เหนื่อยมากแต่ก็สนุก ต้องบริหารเวลา เงิน
คนและงานทุกส่วน แต่พอทำไประยะหนึ่งเราก็มองว่างาน
การทำธุรกิจที่ดีต้องไม่ล็อคตัวเราเองอยู่กับร้าน แบบวางมือไม่ได้ ก็เริ่มมองหาจุดที่เราวางระบบงาน
เราเป็นเจ้าของก็คอยบริหารจัดการแทนการลงมือเองทุกขั้นตอน เมื่อเปิดร้านมายเวียดนาม
เราก็เหนื่อยน้อยลง เพราะการเตรียมวัตถุดิบส่วนหนึ่งจะถูกจัดมาจากร้านต้นตำหรับ
เรามีพนักงานทำเรื่องการปรุงขั้นตอนตามสูตร
ส่วนที่เหลือก็มีเวลามาให้ความสำคัญเรื่องการบริหารการตลาด โปรโมทร้านให้คนรู้จัก
และดูแลเรื่องงานบริการ ทำอย่างไรให้ลูกค้าประทับใจ
ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของการนำพาธุรกิจดำเนินไปได้ "
การบริหารร้านมายเวียดนามจึงเป็นเสมือนโรงเรียนธุรกิจที่มีบทเรียน
แบบฝึกหัดยากขึ้นมาอีกระดับขั้นหนึ่ง ที่พอจะเป็นฐานวัดกำลังให้ก้าวต่อในเส้นทางของการเป็นเจ้าของธุรกิจที่พร้อมจะเติบโต
ด้วยนิสัยส่วนตัว
ที่โอ๋ นิยามตัวเองชัดเจนว่า เป็นคนทำอะไรจริงจัง ต้องทำให้ถึงที่สุด ชอบคิด
ชอบอ่าน ชอบลงมือ ชอบลองของใหม่ กล้าเสี่ยง
งานของเธอจึงแตกไลน์ขยายไปตามความคิดและความฝัน
บ้านของพ่อแม่ที่ตั้งอยู่ติดกับตลาดของฝากทุ่งเกวียน
อ.ห้างฉัตร ซึ่งเคยทำธุรกิจอาหารและที่พักมาก่อน จึงถูกพัฒนาด้วยความรู้ความสามารถด้านเกษตรศาสตร์ที่เรียนมา
บวกกับประสบการณ์ทำร้านอาหาร ร้านนม เปิดเป็น
ร้านกาแฟอารมณ์บ้านสวนเล็กๆอบอุ่นภายใต้ชื่อ Ever Green cafe' เก๋ไก๋
มีกาแฟและอาหาร ซึ่งที่นี่มีเมนูอาหารพื้นเมืองและอาหาร่วมสมัย เอาใจคนยุคใหม่ที่เดินทางมองหาร้านนั่งเล่น
พักอารมณ์สบายๆระหว่างเดินทางหรือแวะซื้อของฝาก ซึ่งที่นี่โอ๋ถือว่าเป็นธุรกิจที่ให้ความรู้สึกของคำว่า"บ้าน"
และงานไปพร้อมๆกัน เพราะส่วนสำคัญของเมนูอาหารจะถูกปรุงขึ้นจากฝีมือตัวเอง
มีสูตรในการบริหารจัดการให้เป็นอาหารที่แช่แข็งไว้ปรุงพร้อมเสิร์ฟอย่างง่าย
แต่คงคุณภาพความอร่อยเป็นทางเลือกนอกเหนือจากเมนูเครื่องดื่มและกาแฟ
โอ๋บอกเล่าว่าที่จริงแล้วมีฝันใหญ่มาก
คือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสังฆภัณฑ์ พิธีกรรม งานมงคลครบวงจร เพราะธุรกิจครอบครัวทำร้านสังฆภัณฑ์และอยู่กับมันมาตั้งแต่เด็ก
แต่มันยังไม่ถึงเวลาในขณะนี้ จึงเริ่มจากงานเล็กๆที่ใช้ทุนไม่มาก
ไม่ต้องกู้ธนาคารมาทำใหญ่โต ไม่ใช่ว่าการกู้เป็นสิ่งที่ไม่ดี
อันที่จริงมันดีมากหากเรามีแผนที่ชัดเจนมั่นคง แต่โอ๋เริ่มจากจุดที่ทำเล็กๆใช้เงินจากส่วนที่มี
และรวบรวมได้จากการไม่ต้องกู้เป็นหลักเพื่อเรียนรู้ไปก่อน
หากเจ็บตัวก็ไม่ต้องเป็นหนี้ พัฒนาแก้ไขไปตามสถานการณ์ที่ควรจะเป็น
เมื่อถึงเวลาที่เราจะทำการใหญ่
ตอนนั้นเราอาจจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้มากพอและมีความพร้อม อาจจะเห็นแฟรนด์ไชส์ร้านบ้านนม
และร้านกาแฟ ในไม่ช้า
"ตอนนี้โอ๋มีร้านต้องบริหารอยู่
3 แห่ง แม้จะเป็นธุรกิจแนวร้านอาหาร แต่ละร้านมีความเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน
มีลักษณะงานที่ต่างกัน วิธีบริหารคือเน้นการกระจายงาน มี ‘อ้อม’ ธิดารัตน์ เขื่อนแก้ว น้องสาวช่วยคิดช่วยหาไอเดียใหม่ๆมีผู้จัดการดูแลที่วางใจได้
การสื่อสารที่ดีระหว่าง คนทำงาน ผู้จัดการและเจ้าของ ช่วยได้เยอะมาก
ในเรื่องการตลาดเราเน้นใช้สื่อโซเชียล เพราะยุคนี้ทุกคนเสพสื่อโซเชียล
การแชร์เรื่องราวของเราออกไปมีผลทางการตลาดค่อนข้างมาก เป็นที่รู้จักและนิยมค่อนข้างเร็ว
ทั้งโพสต์จากเราเองและลูกค้าที่มาใช้บริการแล้วบอกต่อๆกันไป แต่โจทย์ที่สำคัญ
คือบริหารคน ทีมงานให้มีส่วนร่วมในการการรักษามาตรฐานทั้งสินค้า
บริการให้พร้อมรับมือลูกค้าอย่างมีคุณภาพ ส่วนคนเป็นเจ้าของก็มีเวลาเหลือมากพอจะคิดอะไรใหม่ๆ
ออกไปดูโลกแห่งการแข่งขันกลับมาพัฒนาธุรกิจตัวเองให้เติบโตขึ้น "
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1111 วันที่ 6 - 12 มกราคม 2560 )
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น