เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ใช่ว่าจะมีอารมณ์โรแมนติกนึกถึงวันวาเลนไทน์
แต่ที่ทำให้ใจเต้นตึกตักก็เพราะนึกถึงว่า
นี่เรากำลังนับถอยหลังเข้าสู่ฤดูกาลเผาแห่งชาติกันแล้วสินะ
ปัญหาซ้ำ ๆ ที่เกิดขึ้นทุกปี อย่าว่าแต่พื้นที่เกษตรกรรมเชิงเดี่ยวเลยที่เผาอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
ทุกวันนี้ตามหมู่บ้านพอตกเย็นก็เริ่มเห็นควันไฟอ้อยอิ่งลอยเป็นหย่อม ๆ จากสวนโน้นสวนนี้
จากพื้นที่ที่คนนำขยะ หรือกิ่งไม้ใบไม้มาทิ้งกัน ช่วงเย็น ๆ อากาศนิ่ง
พอเผาควันก็ไม่ไปไหน กลับลอยตลบอบอวลอยู่ในหมู่บ้านนั่นแหละ
ที่สำคัญตอนนี้คือมือเผาเริ่มหัวหมอ รอจุดไฟตอนหัวค่ำ
เพื่อจะได้ไม่มีใครเห็นทั้งมือเผาและจุดเกิดเหตุ ชาวบ้านตาดำ ๆ
ก็นั่งดินเนอร์เคล้ากลิ่นควันกันไป
เผากันอย่างนี้ รู้หรือไม่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้
กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ออกมาเปิดเผยข้อมูลการจัดอันดับเมืองที่มีมลพิษฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5
ไมครอน (PM 2.5) ในประเทศไทย
โดยประมวลผลข้อมูลจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศของกรมควบคุมมลพิษ 12 สถานี ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งพบว่า
เดือนมกราคม-กรกฎาคม พ.ศ. 2559 เมืองที่มีค่าเฉลี่ยรายปีของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน
2.5 ไมครอน (PM 2.5) สูงสุด คือ
เชียงใหม่ (ค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 42 ค่าสูงสุดรายเดือนอยู่ที่
144) รองลงมา คือ ลำปาง (ค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ที่ 39 ค่าสูงสุดรายเดือนอยู่ที่ 156)
ขอย้ำว่า ลำปางของเราติดอันดับเมืองที่มีปัญหามลพิษฝุ่นละอองเป็นลำดับที่
2
ของประเทศแล้ว
ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5
ไมครอน (PM 2.5) นั้น เล็กเกินมองเห็น
และเล็กมากจนสามารถเข้าสู่กระแสเลือดได้ ดังนั้น
ฝุ่นพิษจึงเป็นตัวนำสารพิษสู่ร่างกายโดยเข้าไปอุดตันในเส้นเลือด
นอกจากเป็นปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งแล้ว ยังทำให้เป็นโรคหัวใจและโรคเส้นเลือดสมองอุดตันได้ด้วย
ฝุ่นมรณะเหล่านี้มาจากการคมนาคมขนส่ง
การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิล ภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเผาในที่โล่ง
มันยังเป็นมลพิษข้ามพรมแดนและปนเปื้อนอยู่ในบรรยากาศได้นาน
องค์การอนามัยโลกจึงกำหนดอย่างเป็นทางการให้ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5
ไมครอน (PM 2.5) จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็ง สอดคล้องกับที่นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา
อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลมะเร็งลำปาง เคยให้ข้อมูลว่า
จังหวัดลำปางมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งปอดมากเป็นอันดับต้น ๆ และในจำนวนผู้ป่วยเหล่านั้น
หลายคนไม่สูบบุหรี่!
มลพิษทางอากาศเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น
หากไม่มีตัววัดอย่างดัชนีคุณภาพอากาศ เราจะไม่รู้เลยว่า มลพิษทางอากาศมีมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม
มาตรฐานในการตรวจวัดและรายงานคุณภาพอากาศของประเทศไทยยังต่ำกว่ามาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดค่าเฉลี่ย PM 2.5 ในการคำนวณดัชนีคุณภาพอากาศ
กรณีนี้เมืองเชียงใหม่เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัด โดยเมื่อต้นปี พ.ศ. 2559 ช่วงที่เชียงใหม่เผชิญวิกฤตหมอกควันไปทั่วเมือง
แต่กรมควบคุมมลพิษกลับรายงานว่า อากาศยังดีอยู่
นั่นเพราะการวัดคุณภาพอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไมครอน
(PM 10) กระทั่งสถานกงสุลอเมริกาประจำประเทศไทย
จังหวัดเชียงใหม่ ทนไม่ไหว ต้องออกมาเรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษวัดดัชนีคุณภาพอากาศจาก
PM 2.5 และเผยแพร่ข้อมูลฝุ่นมลพิษ PM 2.5 รายวัน เพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ว่า มลพิษที่แท้จริงเป็นอย่างไรและสามารถป้องกันตนเองได้
กรีนพีซยังบอกว่า
ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่เพียงพอที่จะบอกว่า
อากาศที่เราหายใจเข้าไปจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราหรือไม่อย่างไร จึงได้เรียกร้องให้กรมควบคุมมลพิษใช้ค่าเฉลี่ยPM
2.5 ในการคำนวณดัชนีคุณภาพอากาศ เพื่อความแม่นยำในการระบุถึงผลกระทบต่อสุขภาพ
คงได้แต่หวังว่า ปีนี้เราจะเคลื่อนออกจากวังวนแห่งหมอกควันไปได้
โดยทางจังหวัดน่าจะมีมาตรการเข้มข้นเพื่อให้ลำปางหลุดออกจากการจัดอันดับที่น่าสะพรึงเสียที
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1115 วันที่ 3 - 9 กุมภาพันธ์ 2560 )
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น