การตัดสินใจยกเลิกโครงการบริหารจัดการมูลฝอยติดเชื้อ
ของนายกิตติภูมิ นามวงศ์ นายกเทศมนตรีนครลำปาง นับเป็นความกล้าหาญ
และควรชื่นชมยินดี ที่นายกฯเล็กเมืองลำปาง เลือกประชาชน
มากกว่าเลือกผลประโยชน์ถ้ามี ในฐานะที่ลำปางยอมรับเป็นแหล่งกำจัดขยะของจังหวัดภาคเหนือตอนบนทั้งหมด
ถึงกระนั้น
การจัดการมูลฝอยติดเชื้อตามสถานพยาบาลต่างๆ ก็เป็นหน้าที่ของเทศบาล
ซึ่งก็คงเป็นภาระรับผิดชอบเฉพาะพื้นที่ ไม่ใช่แบกรับแทนที่อื่นๆ
ลำพังขยะธรรมดาๆ
คนก็หวาดผวาแล้ว ยิ่งเป็นขยะติดเชื้อ ที่มีโอกาสจะแพร่กระจายเชื้อต่อไป
ยิ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน และเป็นบทเรียนหนึ่งของเทศบาล
แม้จะบอกว่าได้ฟังชาวบ้านมาแล้ว
พวกเขาคงไม่ได้ใส่ใจในรายละเอียดถึงขนาดจะบอกว่า
ขยะติดเชื้อเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่
แต่เทศบาลก็ไม่ได้อธิบายความหมายของขยะติดเชื้ออย่างครบถ้วน รอบด้าน
คล้ายจะให้ผ่านๆโดยคิดถึงผลกระทบที่มีต่อชาวบ้านไม่มากนักในตอนแรก
ทพ.สุธา
เจียรมณีโชติชัย อดีตรองอธิบดีกรมอนามัย ได้เคยอธิบายความหมายของ ขยะติดเชื้อไว้
ว่าเกิดขึ้นจาก 3 แหล่ง ได้แก่ โรงพยาบาลหรือคลินิกที่ดูแลคนไข้
โรงพยาบาลสัตว์ และห้องปฏิบัติการตรวจเชื้อ ซึ่งจากการสำรวจพบว่า ทั่วประเทศมีขยะติดเชื้อเกิดขึ้น
43,000 ตันต่อปี หรือ 43 ล้านกิโลกรัมต่อปี
เฉลี่ย 120 ตันต่อวัน หรือ 1.2 แสนกิโลกรัมต่อวัน
นับเป็นปริมาณขยะที่เกิดขึ้นเยอะมาก แต่ประสิทธิภาพในการทำลายจากเตาเผาขยะติดเชื้อขนาดใหญ่ตามเทศบาลและเอกชนรองรับได้เพียงวันละ
100 ตัน หรือ 1 แสนกิโลกรัมต่อวันเท่านั้น
ที่เหลือปนเปื้อนไปกับขยะทั่วไป เป็นเรื่องที่น่ากังวล
“แนวโน้มของขยะติดเชื้อมีมากขึ้นเนื่องจากโรงพยาบาลมีการขยายตัวและมีการรักษาผู้ป่วยมากขึ้น
ซึ่งทุกวันนี้การจัดการขยะติดเชื้อยังประสบปัญหา ตั้งแต่แหล่งกำเนิด เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ของระบบคัดแยกขยะติดเชื้อในสถานพยาบาล
สภาพเตาเผาที่ชำรุด และไม่มีการตรวจวัดมาตรฐานอากาศเสียจากปล่องควันตามกฎหมาย อีกทั้งราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
เป็นผลให้สถานพยาบาลมีแนวโน้มในการส่งขยะติดเชื้อให้เอกชนกำจัดนอกสถานพยาบาลมากขึ้น
ซึ่งขยะติดเชื้อที่กำจัดไม่ถูกวิธีจะแพร่กระจายเชื้อโรคและส่งผลกระทบต่อสุขภาพประชาชน
เช่น โรคท้องร่วง เชื้ออหิวาตกโรค ไทฟอยด์ โรคบิด บาดทะยัก ไวรัสตับอักเสบ และโรคเอดส์” อดีตรองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
การแก้ปัญหาเบื้องต้นคือ โรงพยาบาลต้องพยายามลดการใช้ขยะลง
เช่น ผ้าก๊อต จากเดิมใช้ 4 แผ่น อาจใช้เพียง 2
แผ่น ส่วนขวดแก้วยาปฏิชีวนะแทนที่จะเอาไปทิ้ง ก็ให้นำไปฆ่าเชื้อ
อบไอน้ำ แล้วนำกลับมาใช้ใหม่ หรือหลอดและเข็มฉีดยาก็ทำลายตัวเหล็กแล้วนำพลาสติกที่เหลือไปขายเป็นขยะรีไซเคิลได้
นอกจากนี้ กรมอนามัยจะเร่งผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) มีเตาเผาขยะที่ได้มาตรฐานและเพิ่มเตาเผาขยะในโรงพยาบาลชุมชนเพื่อที่จะได้เป็นศูนย์ในการดูแลกำจัดขยะให้แก่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) โดยรอบ
นั่นแปลว่า ถึงแม้จะไม่มีเตาเผาขยะติดเชื้อขนาดใหญ่ แต่ก็จำเป็นจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดขยะมีพิษ
ให้กับสถานพยาบาล และโรงพยาบาลทุกระดับ
ท่านนายกฯเทศบาลตัดสินใจถูกต้อง แต่ชาวบ้านก็ต้องช่วยกันคิด
และสนับสนุนการกำจัดขยะติดเชื้อในบ้านของตัวเองให้มีคุณภาพด้วย
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น