จำนวนผู้เข้าชม
ปัญหาสับปะรดราคาตกต่ำในพื้นที่
จ.ลำปาง ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ ต.บ้านเสด็จ อ.เมือง จ.ลำปาง ซึ่งเป็นแหล่งปลูกสับปะรดมากที่สุด ร้อยละ 90
ของพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด
พบว่าเกษตรกรยังคงนำสับปะรดมาวางขายบริเวณริมถนนซุปเปอร์ไฮเวย์
ตลอดเส้นทางเมื่อเข้าสู่เขต ต.บ้านเสด็จ อ.เมืองลำปาง โดยมีมากกว่า 20 ร้าน โดยมีผู้ที่ขับรถผ่านมาจอดแวะซื้ออย่างต่อเนื่อง
บางรายก็ขายได้อย่างคึกคัก ส่วนบางรายก็เงียบเหงา
อยู่ที่ลูกค้าจะเลือกซื้อร้านใด ซึ่งราคาผลสด
เนื้อหวานปกติจะอยู่ที่ราคาลูกละ 10 บาท
ส่วนเนื้อน้ำผึ้งอยู่ที่ผลละ 20-30 บาทตามขนาด หากขายส่งเป็นกิโลกรัม เนื้อหวานปกติยังคงอยู่ที่กิโลกรัมละ
1.50-2 บาท ส่วนเนื้อน้ำผึ้งกิโลกรัมละ
4-5 บาท เท่านั้น
ส่วนภายในไร่สับปะรด
มีเกษตรกรเก็บเกี่ยวอยู่ตลอดทั้งวัน พบว่ามีผลสุกเน่าตายคาต้นจำนวนมาก
เจ้าของต้องฟันทิ้งเพื่อให้กลายเป็นปุ๋ย และมีผลที่ยังไม่โตเต็มที่
และผลที่พร้อมเก็บเกี่ยวเหลืออยู่อีกมากมายเช่นกัน โดยชาวสวนต้องเข้ามาเก็บเกี่ยวทุกวันอย่างน้อยวันละ
2 ครั้ง
นางลัดดา
ล่ำแรง เกษตรกรบ้านปงอ้อม หมู่ 4 ต.บ้านเสด็จ ที่กำลังเก็บเกี่ยวสับปะรดท่ามกลางแดดร้อนจัด เปิดเผยว่า ตนปลูกสับปะรดมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ นาน 30 ปีแล้ว โดยเช่าพื้นที่ปลูกอยู่ประมาณ 25 ไร่
ได้ทยอยตัดขายออกไปส่งให้แม่ค้าที่มารับซื้อกิโลกรัมละ 2 บาท
ที่ผ่านมาขายได้กิโลกรัมละ 1.50 บาทเท่านั้น จากปีที่แล้วเคยขายกิโลกรัมละ
10-12 บาท ผลสดเต็มหลังรถกระบะขายได้อยู่ 1 หมื่นบาท แต่ปีนี้ทั้งลำรถขายได้เพียง 1,000
กว่าบาท เดือดร้อนมากเพราะรายได้ลดลงฮวบ ในขณะที่ต้นทุนยังอยู่เท่าเดิม ต้องจ่ายค่าจ้างคนงานวันละ 300 บาท ค่าน้ำมันรถ ถ้าไม่มีรถของตัวเองก็ต้องจ้างรถขนเที่ยวละ
200 บาท ค่าเช่าพื้นที่ปลูกไร่ละ
800 บาท
ต้นทุนการปลูกสับปะรดต้นหนึ่งอยู่ประมาณต้นละ 5 บาท
เฉลี่ย 1 ไร่มีประมาณ 8,000 ต้น
ก็เป็นทุน 40,000 บาทแล้ว แต่เกษตรกรขายได้เพียงวันละไม่ถึง 2,000 บาท หักค่าใช้จ่ายแล้วบางวันเหลือกลับบ้านเพียง 500
บาทเท่านั้น ตอนนี้จะขอขึ้นราคาสับปะรดก็คงไม่ได้แล้ว
จึงขอให้มาช่วยซื้อกันให้มากๆ
ไม่อยากให้ต้องเน่าตายไป ทุกวันนี้ตนเองก็เป็นหนี้
ธกส.อยู่หลายแสนบาท เพราะกู้เงินมาลงทุนในการเพาะปลูก และต้องจ่ายหนี้ให้กับ
ธกส.ทุกปี
คงต้องเจียดเงินที่ขายสับปะรดได้มารวบรวมไว้เพื่อนำไปจ่ายดอกเบี้ยไปก่อน
เพราะยังไม่มีเงินที่จะไปจ่ายเงินต้นได้
นางลัดดา
กล่าวว่า สิ่งที่อยากให้ควบคุม คือการขายหน่อ เมื่อมีการขายออกไปมาก
ก็ทำให้พื้นที่อื่นมีการปลูกสับปะรดเพิ่มมากขึ้น เดิมบ้านเสด็จจะเป็นแหล่งปลูก
ตอนนี้ก็มีขยายออกไปจังหวัดใกล้เคียงด้วย
ผลผลิตเพิ่มขึ้นแต่ผู้รับซื้อยังคงมีเท่าเดิม เป็นปัญหาให้เกษตรกรขายไม่ได้
ด้านนางประภา
ปินตาเครือ เกษตรกรบ้านลูใต้ หมู่ 9 ต.บ้านเสด็จ กล่าวว่า ตนมีพื้นที่ปลูกสับปะรดประมาณ 20 ไร่ มีผลผลิตออกมาประมาณ 2 หมื่นหัว ฤดูกาลนี้ผลออกเยอะเกือบ 80
เปอร์เซ็นต์ของจำนวนที่ปลูกทั้งหมด
ในหนึ่งวันจะเก็บออกมาวางขายประมาณ 2 ตัน หรือประมาณ 1,500
หัว มีราคาตั้งแต่หัวละ 5 บาทไปถึง 20 บาท
แต่ถ้าขายเป็นกิโลกรัมจะอยู่ที่ 3-4 บาท
เนื่องจากไร่ของตนปลูกแบบอินทรีย์ ลูกค้าจึงเลือกซื้อมากกว่า ส่วนราคากิโลกรัมละ 2 บาทก็มีแต่จะขนาดเล็กลง
ส่วนใหญ่ก็จะขายหมดในแต่ละวัน รายได้ต่อวันอยู่ที่ 3,000-4,000 บาท
แต่ก็ยังลำบากมากยังไม่ได้ทุนคืนเลย
ก่อนเก็บเกี่ยวก็ต้องจ้างคนมัดหัวไม่ให้ช้ำแดด ต้องให้ฮอร์โมน ต้องจ้างคนเก็บเกี่ยว
ลงทุนไปกว่า 20,000 บาท ส่วนใหญ่เกษตรกรจะกู้ ธ.ก.ส.มามากบ้างน้อยมาก
เพื่อจะนำเงินไปซื้อปุ๋ยมาเก็บตุนไว้ปลูกในปีต่อไป แต่ปีนี้กลับราคาตก เกษตรกรแทบจะไม่ได้อะไร เมื่อขายไม่ได้
ก็ไม่มีเงินที่จะไปใช้หนี้ให้กับธนาคาร
ขณะเดียวกัน
จังหวัดลำปางได้เร่งให้การช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกสับปะรด โครงการ
“คนลำปางไม่ทิ้งกัน” ตามนโยบายของ นายสุวัฒน์ พรมสุวรรณ
ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง โดยจัดหาสถานที่วางจำหน่ายให้กับเกษตรกร
พร้อมทั้งประสานขอความร่วมมือไปยัง อบจ. เทศบาล และ อบต. ในพื้นที่
ช่วยสนับสนุนและจัดหาตลาดให้กับเกษตรกร โดยทำหนังสือถึงจังหวัดใกล้เคียงขอความร่วมมือประชาสัมพันธ์และรับซื้อสับปะรดเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร
ซึ่งมีหน่วยงานราชการ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ช่วยรับซื้อสับปะรด
นำมาแจกจ่ายให้ประชาชน สามารถแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง
เนื่องจากยังมีสับปะรดจากสวนที่รอระบายออกอยู่อีกจำนวนมาก
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1135 วันที่ 30 มิถุนายน - 6 กรกฎาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น