รอง
ผอ. พร้อมคณะครู โรงเรียนอนุบาลลำปาง
เข้าแจ้งความเอาผิด “ครูต้อย” ยักยอกทรัพย์
ไม่นำเงินเข้าระบบของโรงเรียนกว่า 22 ล้านบาท อ้างนำไปใช้จ่ายส่วนตัวให้ ผอ. แจงกรณีไม่แจ้งความ
ผอ.เนื่องจากเข้าสู่กระบวนการของสอบสวนวินัยร้ายแรงแล้ว หากผลสอบสวนพบว่ามีความผิดเรื่องใด
ก็นำมาแจ้งความเพิ่มเติมได้
-ครูเดินขบวนป้องศักดิ์ศรี
เมื่อวันที่
27 ก.ค.2560 เวลาประมาณ 09.30 น.
คณะครูจาก โรงเรียนอนุบาลลำปาง(เขลางค์รัตน์อนุสรณ์) ประมาณ 60 คน นำโดย นายสมยศ ยะม่อนแก้ว รองผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลลำปาง(เขลางค์รัตน์อนุสรณ์)
รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียน ได้นำคณะครูของโรงเรียนฯ เดินขบวนชูป้าย
เพื่อปกป้องศักดิ์ศรีของโรงเรียน
หลังถูกนำเสนอข่าวว่าโรงเรียนมีการยักยอกทรัพย์ 42
ล้านบาท และยังคงทิ้งหนี้สินไว้อีกกว่า 10 ล้านบาท
-แจ้งความ “ครูต้อย” ยักยอก
โดย
นายสมยศ ยะม่อนแก้ว รองผู้อำนวยการโรงเรียน ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับ
พ.ต.ท.ถนัดชัย เครือวัง รอง ผกก.สอบสวน ให้เอาผิดกับนางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย
ซึ่งเป็นข้าราชการบำนาญ ปฏิบัติงานหัวหน้าสำนักงานผู้อำนวยการโรงเรียน
และทำหน้าที่เป็นเลขานุการของนายประยูร เรียนปิงวัง ผู้อำนวยการโรงเรียน เนื่องจากได้กระทำความผิดอาญาฐานยักยอกทรัพย์ จากนั้น พ.ต.อ.กฤษดา พันธ์เกษม
ผกก.สภ.เมืองลำปาง ได้มารับเรื่องด้วยตนเอง
-ถือเงินคนเดียว
ไม่เอาเข้าระบบ
นายสมยศ
รักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนฯ กล่าวว่า นางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย ได้มีการให้ถ้อยคำยืนยันกับเจ้าหน้าที่
สตง. ภาค
9
และยืนยันข้อเท็จจริงต่อคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงว่า
ตนเองได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ในกลุ่มงานสำนักงานผู้อำนวยการโรงเรียน จำนวน 4 คน
ออกใบเสร็จรับเงินในนามโรงเรียนอนุบาลลำปาง
เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการรับเงินค่าธรรมเนียมการเรียนหลักสูตรเตรียมอนุบาล
(อนุบาล 3 ขวบ)
ตามหลักฐานจากใบเสร็จรับเงินที่แนบมาทั้งหมด 168 แผ่น
เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,842,625 บาท โดยการรับเงินตามใบเสร็จดังกล่าว นางสุรณี
และเจ้าหน้าที่ทั้ง 4 คน ยืนยันตรงกันว่า นางสุรณี
ได้เข้ามากำกับควบคุมการรับเงินค่าธรรมเนียมการเรียน ที่เจ้าหน้าที่ทั้ง 4 คนได้รับไว้อยู่ก่อนแล้ว
ด้วยการลงลายมือชื่อกำกับในสำเนาใบเสร็จรับเงินเกือบทุกฉบับ และยังได้เก็บเงิน
จำนวนเงินตามใบเสร็จไว้ในครอบครองเพียงคนเดียว
ไม่มีการส่งมอบให้กับฝ่ายการเงินของโรงเรียน และกล่าวยืนยันข้อเท็จจริงว่า
ได้นำเงินค่าธรรมเนียมการเรียนดังกล่าว เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัวของนายประยูร
เรียนปิงวัง ไปจนหมด
เช่นเดียวกับเงินรายได้ค่าเรียนช่วงปิดภาคเรียนในเดือน ต.ค.และ เม.ย.
ของทุกปี โดยยอดรายรับในปี 2557-2560 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 22,303,755 บาท ซึ่งเงินในส่วนนี้นางสุรณีเป็นคนเก็บรักษาไว้เพียงคนเดียวโดยไม่นำฝากบัญชีธนาคารและไม่ได้ส่งให้ฝ่ายการเงินของทางโรงเรียน แต่นำไปใช้จ่ายเรื่องส่วนตัวของนายประยูร
เรียนปิงวัง ซึ่งการกระทำของนางสุรณี
ทำให้โรงเรียนได้รับความเสียหายแก่ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของโรงเรียน
สูงถึง 22 ล้านบาทเศษ
ถือเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้วเบียดบังเอาทรัพย์มาเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต
นายสมยศ
กล่าวต่อไปว่า ในเรื่องนี้ทางตนเองและคณะครูฯ ได้ติดตามข่าวมาอย่างต่อเนื่อง และทางโรงเรียนถูกโจมตีมาตลอด
ทำให้คณะครูเกิดความเครียด ซึ่งก่อนหน้านี้ยังทำอะไรไม่ได้
เนื่องจากตนยังอยู่ในตำแหน่ง รอง ผอ. แต่ขณะนี้ ตนเพิ่งได้รับตำแหน่งรักษาราชการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนฯ
เมื่อวันที่ 24 ก.ค.2560 ที่ผ่านมา
ตนจึงจะออกมาปกป้องเกียรติและศักดิ์ศรีของโรงเรียน โดยการมาแจ้งความดำเนินคดีกับ
นางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย ในข้อหายักยอกทรัพย์
-ผอ.เข้ากระบวนการสอบวินัย
เหตุที่ต้องแจ้งความกับ
นางสุรณี เนื่องจากเป็นบุคคลธรรมดา
ที่เป็นขาราชการบำนาญ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเลขาฯ โดยผู้อำนวยการโรงเรียน
ซึ่งไม่ได้รับเงินเดือนของทางราชการแต่อย่างใด ทำให้กฎหมายปกครองทำอะไรไม่ได้ แต่เป็นผู้มีส่วนในการกระทำผิด
จึงต้องแจ้งความร้องทุกข์กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้เป็นคดีอาญา ส่วนจะมีการสอบสวน
หรือสาวถึงผู้เกี่ยวข้องคนใด ครูต้อยจะนำเงินไปให้ใครอย่างไรนั้น ก็ให้เป็นไปตามกฎหมาย
ส่วนที่ไม่ได้แจ้งความกับ นายประยูร
เรียนปิงวัง ผอ.โรงเรียนอนุบาลลำปางฯ นั้น เนื่องจาก ขณะนี้ ได้เข้าสู่กระบวนการ
โดยมีการตั้งกรรมการสืบข้อเท็จจริง และชี้มูลการกระทำความผิด
ส่งผลให้ต้องตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ศึกษาธิการจังหวัดมีคำสั่งย้าย
ผอ.ไปทำงานที่ สพป.ลำปาง เขต 1แล้ว
ซึ่งขณะนี้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินกำลังมีการตรวจสอบว่ารัฐเสียหายไปเท่าไร หากผลการสอบวินัยร้ายแรงออกมาว่ามีความผิดในทิศทางใด
ก็สามารถมาแจ้งความเพิ่มเติมได้
-ถูกป้ายสีหลายเรื่อง
รอง
ผอ. กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีการออกสื่อแต่ฝ่ายเดียว
มีการใส่ร้ายป้ายสี มีการร้องเรียนต่างๆ
เช่น เรื่องโครงการฝากลูกไว้กับครู ซึ่งร้องเรียนว่าครูได้เงินห้องละ 5,000
บาท ตนจึงเห็นว่าจะต้องนำเงินดังกล่าวเข้าระบบให้ถูกต้องก่อน และครูจะต้องถูกสอบสวนต่อไป
เรื่องต่อมาคือ เรื่องการรับเด็กนักเรียน ชั้นอนุบาล อายุ 3-4 ขวบ ห้องเรียนพิเศษ รับไป 14 คน ห้องเรียนปกติ รับไป 45 คน รวมเป็นเงินค่าเทอมกว่า 1 ล้านบาทเศษ
และไม่ทราบว่าเงิน 1 ล้านบาทเศษนำเงินไปที่ไหน จึงเห็นว่าเป็นการรับเด็กที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ทั้งนี้ ตนได้รับเด็กเข้ามาตามระบบระเบียบประมาณ 85 คน
ซึ่งเงินจะเข้าระบบหมด ต่อมาเป็นเรื่องเงินเก็บสวัสดิการร้านค้าแผงในโรงเรียน
แบ่งฝ่ายสวัสดิการโรงเรียน 50
เปอร์เซ็นต์และสำนักงานผู้อำนวยการ 50 เปอร์เซ็นต์ นั้น
คิดว่ามันไม่ถูกต้อง ตนจึงเอาเงินทั้งหมดไปเข้าบัญชีเงินกองทุนอนุบาลลำปาง
และค่าลงสระว่ายน้ำ ปกติส่งสำนักงานผู้อำนวยการ
ตนก็ให้เข้าระบบโดยออกใบเสร็จรับเงินของโรงเรียน
ซึ่งเรื่องทั้งหมดนี้ตนก็เพิ่งจะได้เข้ามาปฏิบัติงานมาในช่วงต้นปีเท่านั้น จึงได้จัดการให้เข้าระบบและถูกต้องตามระเบียบ ทำให้เขาเสียผลประโยชน์ อาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงมีการออกมาให้ข่าวให้โรงเรียนเสียหาย
-ผกก.ยันพบใครทุจริตจัดการหมด
ด้าน
พ.ต.อ.กฤษฎา พันธ์เกษม ผกก.สภ.เมืองลำปาง ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน กล่าวว่า เบื้องต้น ได้รับเรื่องการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษ
นางสุรณี กัลยารัตนกุล หรือครูต้อย กรณีที่มีการนำเงินค่าบำรุงการศึกษา
แล้วไม่นำไปเข้าระบบของโรงเรียน หลังจากนี้ก็จะมีการเรียนตัวผู้เกี่ยวข้องมาทำการสอบสวนทั้งหมด รวมถึงตัวครูต้อยด้วย
ซึ่งได้บอกไปแล้วว่าหากสอบสวนพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตจะดำเนินการคดีตามกฎหมายทั้งหมดไม่มีข้อยกเว้น เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ประชาชนชาวลำปางให้ความสนใจ ซึ่งการดำเนินการต่างๆก็ต้องว่าไปตามพยานและหลักฐานต่อไป
ผู้สื่อข่าวได้ขอติดต่อนางสุรณี
หรือครูต้อย ผ่านคนใกล้ชิด
เพื่อสอบถามถึงกรณีถูกแจ้งความยักยอกทรัพย์ดังกล่าว ซึ่งทราบว่าครูต้อยได้เดินทางไปทำธุระที่กรุงเทพฯ
เกี่ยวกับเรื่องการร้องเรียน ผอ.โรงเรียนอนุบาลลำปางเช่นกัน
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1139 วันที่ 28 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น