เรื่องราวที่ความพิเศษมักมาจาก
ความไม่เหมือนใคร เพราะแม้คนกลุ่มหนึ่งจะรู้จักร้านซ่อมและขายรองเท้าหนังแท้เก่าแก่ในลำปาง
ชื่อ “ร้านชอเส็ง” แต่ส่วนใหญ่จะเป็นคนรุ่นๆอายุวันเลยหลัก 4
ไปแล้ว นั่นหมายถึงคนรุ่นเก่าๆในลำปาง รู้จักร้านนี้ว่าเป็นร้านขายรองเท้ามายาวนานมากกว่า
50 ปี แต่ถ้าถามคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน อาจจะส่ายหน้า เพราะเกิดไม่ทันยุครุ่งเรืองของร้านนี้
แต่ถ้าถามว่า
หากจะหาร้านซ่อมรองเท้า กระเป๋า เครื่องราคาแพง
ให้กลับคืนสภาพที่ยังต่ออายุของมันได้ แค่กดค้นหา ในกูเกิล (Google)
หรือถามเพื่อนที่รู้จัก ก็อาจจะพบข้อมูลในโลกออนไลน์
และในสื่อโซเชียลเฟสบุค ซึ่งเป็นช่องทางการสื่อสาร
และสืบค้นข้อมูลตอบโจทย์ชีวิตของคนในยุคนี้
“ถ้าไม่กลับมาทำร้านต่อ
มันอาจหมายถึงเรากำลังจะปล่อยให้ตำนานของชอเส็งจบลง” นุ่น ศุภางค์ ไทยสมบูรณ์สุข ลูกสาวคนโต 1 ใน 3 ทายาท
ร้านชอเส็ง เล่าด้วยรอยยิ้มที่แฝงด้วยความมุ่งมั่น ว่า เธอตัดสินใจละทิ้งหน้าที่การงานเงินเดือนเหยียบแสนในเมืองกรุง
เพื่อกลับมาสานต่อธุรกิจการทำรองเท้าหนังแท้ของ ทั้งจำหน่ายผลิต ซ่อม ครบวงจร
ของร้านชอเส็งที่ทำมาตั้งแต่รุ่นอากง ได้เพียง 2 เดือน และนี่คือการเปลี่ยนชีวิตเข้าสู่การเป็นเถ้าแก่
หรือธุรกิจของตัวเอง อย่างเต็มตัว
“ที่จริงนุ่น
เห็นและอยู่กับ ธุรกิจร้องเท้าของที่บ้านมาตั้งแต่เด็กแต่เราไม่เคยได้คลุกคลีใกล้ชิดอะไรมากนัก
เพราะต้องเรียนหนังสือ จบมาก็ไปทำงานอยู่ ในกรุงเทพฯ กว่า 10 ปี พอถึงช่วงหนึ่งพ่อป่วย
แต่เราอยู่ไกล ลางานมาก็ยากมาก น้องๆ ก็คุยกันว่า ทำไมเราต้องไปอยู่กรุงเทพ รายได้สูงมจะเทียบกับการอยู่กับครอบครัว
มาดูแลพ่อแม่ในวันที่ยังไม่จากเราไปได้เหรอ จึงเริ่มกลับมาคิดใหม่ว่า
ที่บ้านเราก็มีธุรกิจของตัวเอง แต่ปล่อยให้พ่อแม่ทำจนไม่ไหวแล้ว
เราก็ยังมีทางเลือก อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปเป็นลูกน้องใคร”
นั่นคือแรงบันดาลใจหลักของการตัดสินใจ
กลับมา ฟื้นธุรกิจ งานซ่อมรองเท้า กระเป๋า และงานเครื่องหนังแท้ตามแบบฉบับของ“ชอเส็ง”
ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เริ่มปรับปรุงหน้าร้าน และการจัดการการสื่อสารการตลาดผ่านช่องทางสังคมออนไลน์และเน้นการให้บริการลูกค้า
เรียกได้ว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งประวัติศาสตร์ของครอบครัว “ชอเส็ง”
รณฤทธิ์
ไทยสมบูรณ์สุข
ในวัย 64 ปี หรือที่ใครๆก็เรียกว่า “เฮียน้อย” พ่อของนุ่น
เจ้าของร้านชอเส็งรุ่นที่2
ซึ่งสืบทอดวิชาตัดและซ่อมรองเท้าหนังจากอากง เล่าว่า เมื่อเขายังเด็ก พ่อหรือที่ลูกๆเรียกว่า
ป๊า ทำธุรกิจร้านค้าพาณิชย์ ขายเสื้อผ้า รองเท้า ในตลาดสดสมบูรณ์
(ตลาดออมสินหรือตลาดเทศบาล 1 ในปัจจุบัน) เมื่อค้าขายไปนานๆก็พบว่ามีลูกค้าที่มีปัญหา
หาซื้อรองเท้าที่พอดีกับเท้าไม่ได้ มีรูปเท้าที่ผิดปกติ
จึงสนใจศึกษาเรียนรู้การตัดรองเท้าด้วยตัวเอง
โดยใช้แบบของรองเท้าที่มีในท้องตลาดมาเป็นต้นแบบ
ซึ่งเขาก็ได้เรียนรู้วิชาทั้งหมดมาจากผู้เป็นพ่อและพัฒนาต่อยอดมาเรื่อยๆ
สิ่งสำคัญที่ทำให้เขา ดำเนินธุรกิจมาจนถึงทุกวันนี้ เพียงเพราะมีใจรัก
“งานเย็บหนัง
มันเป็นศาสตร์และศิลปะ อย่างหนึ่ง คนทำได้ต้องมีใจรัก ป๊าผมเป็นคนกล้าลงทุน ทำจริง
ซื้อเครื่องจักรมาสร้างเหมือนโรงงานเล็กๆหลังบ้าน หัวใจสำคัญของการทำรองเท้า คือหุ่นรองเท้า
ทำจากไม้เนื้อแข็ง กลึงให้ได้ตามแบบและสัดส่วนของเท้า สมัยก่อนมีราคาแพง
แต่เราก็ลงทุนซื้อหุ่นรองเท้าจำนวนมากซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้งานได้อยู่ นอกจากนี้วัสดุอุปกรณ์การตัดเย็บ
ต้องหาซื้อจากหลายแหล่ง เลือกของดี มีคุณภาพ
ดังนั้นเราถือว่าเป็นหนึ่งเดียวที่ตัดเย็บร้องเท้าที่ขึ้นชื่อในลำปาง
รวมไปถึงการตัดเย็บเครื่องหนังสำหรับ รถม้า ปลอกมีด และซองปืน และเครื่องหนังต่างๆ
ทุกวันนี้ยังมีนักสะสมมาขอให้เราช่วยบริการตัดให้ เพราะเขาเชื่อถือและ
ไว้ใจในฝีมือของเรา”
เมื่อถึงยุคของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
เมื่อรองเท้าจากโรงงานมากมาย ไปจนถึงสินค้าแบรนด์เนมเข้ามาแย่งชิงตลาดเกือบหมดสิ้น
ธุรกิจตัดรองเท้าก็ค่อยๆอ่อนล้า งานจ้างตัดรองเท้าลดลงเรื่อยๆ
ช่างตัดเย็บก็เริ่มทยอยออกไปรับจ้างโรงงาน หรือเปิดร้านซ่อมรองเท้าเป็นของตัวเอง
เป็นอย่างนี้มาร่วม 10 ปีแล้ว ต้องยอมรับว่าส่งผลให้ เฮียน้อย
เกือบจะท้อละหมดหวังกับธุรกิจนี้ไปเสียแล้ว
“ดีใจที่ลูกกลับมาสานต่อ
ผมบอกว่าพ่อสอนให้ลูกดีกว่าสอนให้คนอื่น เพราะลูกยังมีโอกาสใช้ความสามารถมาพลิกแพลง
ด้านการตลาดให้มันเข้ากับยุคสมัย ทักษะที่เรามีถ่ายทอดกันได้ เรื่องการผลิตผมไม่กลัวแต่เรื่องการตลาดมันหมดยุคของผมแล้ว เมื่อลูกกลับมาทำผมเชื่อว่าเขาทำได้
จุดแข็งด้านการผลิตที่เรามีทั้งหมดเป็นฐานสำคัญเพียงแค่ต่อยอดให้ถูกทาง” นั่นคือ
มุมยิ้มเล็กๆอย่างมีความหวังของผู้เป็นพ่อ
ในมุมของ
“นุ่น” มองว่า อาชีพการทำรองเท้า โดยเฉพาะการซ่อมรองเท้า
บางคนอาจจะมองว่าเป็นอาชีพที่ต้อยต่ำ หากแต่มองมุมกลับ ซึ่งเธอเองก็เพิ่งจะเข้าใจ
ว่าทำไม ป๊าและแม่ ทำมาได้ค่อนชีวิต เพราะการซ่อมรองเท้าเป็นเสมือนการซ่อมความสุขเล็กๆ
ของคนที่รักรองเท้า หรือ บางคนก็อาจจะมีความหลังที่ผูกพันกับรองเท้าคู่นั้น เพราะอาจจะเป็นของขวัญจากคนอันเป็นที่รักซื้อให้
หรือ อาจจะประทับใจอย่างใดอย่างหนึ่งจนเสียดายที่ต้องทิ้งรองเท้านั้นไป
“นอกจากงานรองเท้าที่เราซ่อมแล้วที่เราสานต่อแล้ว
การตัดเย็บรองเท้าแตะหนังสไตล์โบราณที่มีปลายงอนๆแบบทางเหนือ หรือล้านนา
ในอดีตเราขายดีมาก เพราะเหมาะกับการแต่งกายสไตล์ล้านนา ไปจนถึงพระสงฆ์
ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นตลาดหลักของรองเท้าชนิดนี้ที่ยังคงเป็นซิกเนอเจอร์ของร้านชอเส็ง ส่วนๆอื่นที่นุ่นให้ความสนใจถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งไลน์ของร้านชอเส็งนั่นก็คือการทำสปา
งานซ่อมกระเป๋า รองเท้า เครื่องหนัง ทั้งแบรนด์แนมและไม่แบรนด์เนม เพราะปัจจุบันหาร้านซ่อมที่มีคุณภาพยากมาก
บางคนซื้อกระเป๋ามาราคาแพง เมื่อชำรุดนิดหน่อยก็ไม่อยากทิ้ง ซ่อมแล้วยังใช้งานได้อีกนาน
ดังนั้น นี่คือโอกาสทางตลาดของเราในยุคนี้ด้วยเช่นกัน”
นุ่นบอกถึงแนวทางเป้าหมายการตลาดที่กำลังเริ่มสร้างจุดขายของ ชอเส็ง ยุคใหม่
อภิส์ณัฐ
อัครวิชัยธรรม สามีของนุ่นที่ตัดสินใจมาอยู่ลำปางมาเป็นช่วยกันสานต่อธุรกิจครอบครัวเป็นช่างซ่อมรองเท้า
ด้วยเช่นกัน บอกว่า
ในระยะหนึ่งเดือนที่เขาฝึกหัดทำงานรองเท้าของร้านโดยมีพ่อของนุ่นถ่ายทอดความรู้เบื้องต้น
และให้อิสระทางในการคิดสร้างสรรค์งานซ่อม
เขากลับพบความสุขและความท้าทายอีกแบบหนึ่ง เมื่อเจอปัญหาอาการชำรุดของรองเท้าจากเครื่องหนังแต่ละชิ้นงาน
มันเกิดความท้าทาย และเขามีความสุขทุกครั้งเมื่อลูกค้ามารับรองเท้าแล้วชื่นชมกับของที่ซ่อมแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้
ซึ่งมันคือ สิ่งที่ นุ่นและ เฮียน้อยพูดว่า “รองเท้าทุกคู่มีประวัติศาสตร์ในตัวเอง”
ชอเส็ง
จะกลับมาเป็นธุรกิจเติมเต็มความสุขของลูกค้าอีกครั้ง ในฐานะร้านซ่อมรองเท้าและเครื่องหนังที่เก่าแก่ผ่านร้อนผ่านฝนมากว่าครึ่งทศวรรษของนครลำปาง
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1155 วันที่ 17 - 23 พฤศจิกายน 2560)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น