เทศบาลเมืองเขลางค์นครเข้ารื้อถอน
ที่พักคนงานร้านอาหารชื่อดังรุกที่สาธารณะ หลังศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น
รื้อถอนทรัพย์สินที่บุกรุกออก พร้อมจ่ายค่าปรับวันละ 500 บาท
นับแต่ศาลชั้นต้นพิพากษาจนถึงปัจจุบัน ร่วม 7 แสนบาท
เมื่อวันที่
19 ก.พ.61เวลา 10.00 น. นายจตุวัฒน์ ตุ้ยเต็มวงศ์ ปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นคร ลำปาง
นำกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายกองช่าง และพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่บังคับคดีจังหวัดลำปาง เข้าไปยังร้านอาหารลาภ-ลาบศรีชุม
เลขที่ 200/51 ถ.เฉลิมพระเกียรติ ต.พระบาท อ.เมือง
จ.ลำปาง หลังจากศาลอุทธรณ์ภาค 5 มีคำสั่งยืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้ง 2 คน
คือนายลาภสมบัติ ไชยานนท์ และนางกอบกุล
วงศ์นาสัก รื้อถอนสิ่งก่อสร้าง เป็นบ้านพักคนงาน ห้องล้างจาน โรงเรือนเก็บของ
ทับทางสาธารณะประโยชน์ มีเนื้อที่ ประมาณ 88.9 ตารางวา
โดยทางเทศบาลเมืองเขลางค์นคร
ได้รับหนังสือจากกรมบังคับคดี ให้เข้ามาเริ่มทำการรื้อถอนในวันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ทางฝ่ายกองช่าง จึงนำรถแม็คโคร พร้อมกับเครื่องจักรกลและคนงานกว่า
30 คนเตรียมเข้ามา เพื่อทำการจะรื้อถอนบ้านพักและสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำถนนสาธารณะ แต่ทางนายลาภสมบัติ ไชยานนท์ เจ้าของร้านได้เจรจาขอทำการรื้อถอนเอง
และขอเวลาดำเนินการภายใน 2 วัน
ทางด้านปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นคร จึงผ่อนปรนให้
และจะเข้าตรวจสอบอีกครั้งในวันที่ 21 ก.พ.61 หากยังไม่รื้อถอนตามตกลงกันไว้
เทศบาลก็จะนำเครื่องจักรเข้าทำการรื้อถอนทันที
ทั้งนี้
ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรามาตรา9(1)(2) และมาตรา 108 ทวิ วรรคสอง พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร
พ.ศ.2522 มาตรา 40(3) 42 66 ทวิ
ให้ลงโทษทุกกรรมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ฐานร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดิน ซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน
ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ฐานฝ่าฝืนไม่รื้อถอนอาคารตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น
รวมจำคุกคนละ 1 ปี 2 เดือน ปรับคนละ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ
จึงลดโทษให้เหลือจำคุกคนละ 7 เดือน ปรับคนละ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญาคนละ 2 ปี
หากไม่ชำระค่าปรับให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินสาธารณะประโยชน์
และปรับจำเลยทั้งสองเป็นรายวันอีกวันละ 500 บาท
ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนหรือจนกว่าจะปฏิบัติให้ถูกต้อง
ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ยื่นอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 5
กระทั่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้น โดยค่าปรับตั้งแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจนถึงปัจจุบันรวมเกือบ
7 แสนบาท
ด้านนายลาภสมบัติ
ไชยานนท์ เจ้าของร้านลาภ-ลาบศรีชุม
กล่าวว่า
ตนไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นถนนสาธารณะเนื่องจากตอนเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อทำร้านอาหาร
ทางโครงการได้มีการเทพื้นในบริเวณดังกล่าว และไม่มีรถผ่านเข้าออกเพราะเป็นที่ตาบอด
จึงได้สร้างห้องพักคนงานดังกล่าว
โดยขณะนี้ตนเองได้ฎีกาไปแล้วเรื่องเกี่ยวกับค่าปรับวันละ 500
บาท
ต่อมา
วันที่ 21 ก.พ.61 นายจตุวัฒน์
ตุ้ยเต็มวงศ์ ปลัดเทศบาลเมืองเขลางค์นคร พร้อมด้วยนิติกร
และเจ้าหน้าที่จากสำนักงานบังคับคดี เข้าตรวจสอบร้านลาภ-ลาบศรีชุมอีกครั้ง แต่พบว่าไม่สามารถดำเนินการรื้อถอนได้เสร็จ
ทางเทศบาลเมืองเขลางค์จึงได้นำเครื่องจักร
รถแม็คโครและรถบรรทุกเข้าดำเนินการรื้อถอนทันที
ซึ่งจะต้องทำการขุดพื้นถนนที่เป็นคอนกรีตออกทั้งหมดให้คงสภาพเป็นถนนลูกรังเดิม
พร้อมกับนำต้นไม้ที่ปลูกขึ้นเองออกไปด้วย รวมไปถึงประตูรั้วที่ทางเข้าของร้านได้ทำปิดกั้นถนนไว้
สืบเนื่องจากที่ผ่านมาทางกองช่างของเทศบาลได้
พบว่า ร้านอาหารดังกล่าวได้มีสิ่งก่อสร้างปิดทางสาธารณะประโยชน์
ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน
โดยได้ยื่นเรื่องขอตรวจสอบแนวเขตทางสาธารณะประโยชน์ต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดลำปาง
ต่อมาตามหนังสือจากสำนักงานที่ดินลำปาง ที่ ลป 0020/2/22016 ลงวันที่ 8 ต.ค.57
เรื่องการตรวจสอบแนวเขตทางสาธารณะประโยชน์พบว่า
ได้มีการปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างคือบ้านพักคนงาน ห้องล้างจาน โรงเรือนเก็บของ
ทับทางสาธารณะประโยชน์
ทางเทศบาลฯ
จึงได้มีหนังสือที่ ลป 52307/270 และหนังสือที่ ลป 52307/271 ลงวันที่ 28 ม.ค.58
เรื่องให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางสาธารณะประโยชน์ โดยแจ้งให้เจ้าของร้านคือนายลาภสมบัติ ไชยานนท์
และนางกอบกุล วงศ์นาสัก
ให้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางสาธารณะประโยชน์
ดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในกำหนด 30 วัน ซึ่งทั้งสองได้รับหนังสือแล้วเมื่อวันที่
29 ม.ค.58 และปรากฏว่าหลังจากที่ครบตามกำหนดคือวันที่ 3 มี.ค.58
ทางเจ้าหน้าที่เทศบาลเข้าตรวจสอบสถานที่ดังกล่าวพบว่ายังไม่ได้มีการดำเนินการื้อถอนแต่ประการใด
จึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.สมควร เกิดเทศ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองลำปาง
เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายลาภสมบัติ ไชยานนท์ และนางกอบกุล วงศ์นาสัก รวม 2 ราย
ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9(1)(2)
และมาตรา 108 ทวิ และมาตรา 67 ฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น
และฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น และได้มีการส่งฟ้องศาลเพื่อดำเนินคดี และมีคำสั่งให้รื้อถอนดังกล่าว
(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1168 วันที่ 23 กุมภาภันธ์ - 1 มีนาคม 2561)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น