วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2561

กินรวบ กสทช. อัตตาธิปไตย ไชโย !

จำนวนผู้เข้าชม IP Address

ารใช้อำนาจตามมาตรา 44 หยุดกระบวนการสรรหา กสทช.ทั้งระบบ หลังจากสภานิติบัญญัติคว่ำ กสทช.สรรหาทั้ง 14 คน คล้ายทฤษฏีสมคบคิด ประกอบสร้างให้จุดเล็กๆ คือข้อสงสัยใน ผู้ได้รับการสรรหาบางคน ให้เป็นภาพใหญ่ว่า หากเลือก 7 ใน 14 นั้น หรือเปิดสรรหาใหม่ ก็จะได้คนที่มีคุณสมบัติต้องห้าม ไม่ให้เป็น กสทช.อีก ซึ่งจะทำให้การเลือก กสทช.เป็นงูกินหางไม่จบสิ้น

นายสมชาย แสวงการ สมาชิกสภานิติบัญญัติ(สนช.) ผู้มีบทบาทสำคัญในการล้มกระดานเลือก กสทช.อธิบายว่า นี่เป็นหน้าที่ของสนช.แทนวุฒิสภา ที่จะต้องกลั่นกรอง ตรวจสอบ คุณสมบัติของผู้ที่ผ่านการสรรหา อย่างละเอียด ถี่ถ้วน และจากการตรวจสอบ ก็พบว่า มีผู้ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 7 (ข.)แห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ อย่างน้อย 6 – 8 ราย ในจำนวน 14 ราย ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการเลือกของ สนช.เพราะต้องมีจำนวน ได้รับเลือกเป็นกรรมการไม่น้อยกว่าสองเท่าของจำนวนกรรมการทั้งหมด

คุณสมบัติตามมาตรา 7 (ข) (12) คือไม่เป็น หรือเคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร  ที่ปรึกษา พนักงาน  ผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนในบริษัท หรือห้างหุ้นส่วน หรือนิติบุคคลอื่นใด บรรดาที่ประกอบธุรกิจด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลาหนึ่งปีก่อนได้รับการเสนอชื่อ หรือก่อนได้รับการคัดเลือก

คุณสมบัติต้องห้ามข้อนี้ มิใช่ข้อห้ามเด็ดขาด คือ เคยเป็นในบทบาท หน้าที่เหล่านี้ได้ แต่ต้องพ้นจากบทบาทนั้นมาหนึ่งปีแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงการเอื้อประโยชน์ให้กับกิจการเหล่านั้น เช่น เคยเป็นผู้บริหารทีวีดิจิตอล ซึ่งเป็นคู่สัญญากับ กสทช.

ซึ่งความเป็นจริง การเขียนไว้แบบนี้ ก็ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ได้อยู่ดี เพราะถึงไม่มีตำแหน่ง ไม่มีชื่อ ไม่มีบทบาท หรือไม่มีหุ้นแม้สักหุ้นเดียวในสังคมไทยก็รับรู้กันอยู่ว่า การเป็นนอมินี หรืออยู่เบื้องหลังอำนาจและผลประโยชน์ นั้น ทำได้ไม่ยากเย็น แต่ก็ต้องเขียนไว้ อย่างน้อยก็เป็นการกลั่นกรองไว้ชั้นหนึ่งก่อน

นอกจากเหตุผลเรื่องคุณสมบัติการถือครองหุ้น หรือเกี่ยวข้องกับกิจการ ภายใต้การกำกับของ กสทช. ในคลิปหลุด ที่อ้างว่ามีคนไม่พอใจรายชื่อ กสทช.มีบางถ้อยคำพูดถึง “มาเฟียก๊วนเดิม”จับใจความได้ถึงคนมีฐานะ  เคยเป็นนักการเมือง ซึ่งอาจหมายถึง 1 ในผู้ได้รับการสรรหา คือ นายก่อกิจ  ด่านชัยวิจิตร รองเลขาธิการ กสทช. ซึ่งครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมกรุงศรีริเวอร์ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพี่ชายชื่อนายเกื้อกูล ด่านชัยวิจิตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม  และนายก่อกิจ ยังเคยเป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

นี่ก็เป็นเหตุผลที่แปลกประหลาด หากสนช.จะกินรวบ นายก่อกิจไปด้วย เพราะเป็นคนในตระกูลมีฐานะ มีพี่ชายเป็นนักการเมือง และเขาเคยทำงานการเมือง ซึ่งไม่เข้าลักษณะต้องห้ามของกรรมการข้อไหนเลย ถ้าเอาเหตุผลแบบนี้ นายสนธยา คุณปลื้ม นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ซึ่งล้วนเคยเป็นนักการเมือง โดยเฉพาะนายสมคิด ที่รับใช้ขั้วอำนาจตรงข้าม”ประยุทธ์”มายาวนาน ก็ไม่ควรเข้ามาเป็นรองนายกรัฐมนตรี

คนเลือกยังอธิบายอีกว่า เมื่อมีผู้มีคุณสมบัติต้องห้ามถึง 6 8 ราย ก็เท่ากับมีให้เลือกน้อยกว่าสองเท่า ต้องล้มกระดานทั้งหมด แล้วถ้าสมมติว่า 8 ราย ต้องห้าม แล้วที่เหลือซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนก็ต้องล้มไปด้วยหรือ ในกฎหมายพูดถึงจำนวนไม่น้อยกว่าสองเท่า ซึ่งที่เสนอมาก็ถูกต้องตามข้อกฎหมาย ไม่มีเหตุที่จะคิดเป็นอย่างอื่น

มาตรา 17 เขียนไว้ว่า ถ้าเลือกแล้วกรรมการไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด ให้ประธานวุฒิสภา ซึ่งในยุคนี้คือประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ  แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ และให้นายกรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาเลือกกรรมการให้ครบ นี่ก็เป็นขั้นตอนตามกฎหมายที่ทำได้

น่าสงสัยว่า กรรมการสรรหาที่ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีบทบาทสำคัญในภาคส่วนต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ขาดวุฒิภาวะ ถึงขนาดเลือกผู้ที่ผ่านการสรรหาและมีลักษณะต้องห้ามมากมาย  เสนอไปสนช.ได้อย่างไร และยิ่งน่าสงสัยว่า คนๆเดียว คือนายกรัฐมนตรี จะใช้อำนาจพิเศษ ลงดาบซ้ำ ให้หยุดกระบวนการสรรหา ด้วยเหตุผลอันใด

ไม่มีสิ่งใดชัดเจน ไม่มีเหตุผล ไม่มีธรรมาภิบาล มีแต่ตัวกู ที่ถูกต้องที่สุด


(หนังสือพิมพ์ลานนาโพสต์ ฉบับที่ 1176 วันที่ 27 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2561)

Share:

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

18 ปี ลานนาโพสต์

โครงการปั้นดาว

โครงการปั้นดาว
ขับเคลื่อนโดย Blogger.

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

สถิติการเข้าชมเว็บไซต์